เมื่อวันที่ 16 มี.ค. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายจิรนิติ หะวานนท์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวน และองค์คณะผู้พิพากษา รวม 9 คน มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อม.64/2559 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) ผู้ร้อง ขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกล่าวหา นายเกษม นิมมลรัตน์ อายุ 53 ปี อดีต ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย และรองนายก อบจ.เชียงใหม่ ผู้คัดค้าน คนสนิทนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กรณีที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเมื่อวันที่ 13 พ.ค.59 ว่า นายเกษม จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ รวม 6 กรณี จากกรณีที่พ้นจากตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี ในตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงใหม่ , กรณีเข้ารับตำแหน่ง -พ้นจากตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี ในตำแหน่ง ส.ส.เชียงใหม่ และกรณีเข้ารับตำแหน่ง รองนายก อบจ.เชียงใหม่ โดยแสดงเงินกู้ยืม ของนางดวงสุดา นิมมลรัตน์ คู่สมรส ที่กู้ยืม จากนางบุญทอง สุภารังษี ซึ่งเป็นมารดาของนายเกษม จำนวน 72 ล้านบาท อันเป็นเท็จ และปกปิดเงินที่ได้จากการขายหุ้นบริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน) (WIN) ในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่า 26,193,205 บาท รวมทั้งปกปิดเงินลงทุนในบริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (ASCON) มูลค่า 74,205,972 บาท ของนางดวงสุดา คู่สมรส ที่ให้นางบุญทอง มารดา ถือครองแทน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฯ และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 119 ขอให้ศาลวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งให้นายเกษม พ้นจากตำแหน่งรองนายก อบจ.เชียงใหม่ และห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี
ซึ่งวันนี้ นายเกษม นิมมลรัตน์ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยภรรยา และทนายเดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษา
โดยองค์คณะฯ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า กรณีที่ป.ป.ช.ไต่สวนและชี้มูลความผิดนายเกษม กรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ และยื่นเอกสารประกอบด้วยข้อความปกปิดข้อเท็จจริงที่แจ้งเงินกู้ยืม 72 ล้านบาท ระหว่างมารดาและคู่สมรสเพื่อนำไปซื้อหุ้นอันเป็นเท็จ ซึ่งปกปิดเงินการขายหุ้นบริษัทวินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ WIN ในตลาดหลักทรัพย์มูลค่า 26 ล้านบาทเศษ และปกปิดเงินลงทุนในบริษัทแอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASCON มูลค่ากว่า 74 ล้านบาท ที่ภรรยาให้มารดาถือครองแทน และพยานบุคคลของคู่ความรวม 5 ปากแล้ว ศาลเห็นว่าเป็นการยื่นบัญชีทั้งที่ไม่มีหนี้สินดังกล่าวอยู่จริง และยังไม่แสดงรายการทรัพย์สินที่เป็นหุ้นและเงินจากการขายหุ้น ถือเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ
องค์คณะจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ 9 เสียง พิพากษาว่านายเกษมจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินกับเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบในกรณีพ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงใหม่ , จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีพ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงใหม่ มาแล้ว 1 ปี , กรณีการเข้ารับตำแหน่ง-พ้นตำแหน่ง-พ้นตำแหน่ง ส.ส.เชียงใหม่มาแล้ว 1 ปี, กรณีการเข้ารับตำแหน่งรองนายก อบจ.เชียงใหม่ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 32, 33 จึงห้ามไม่ให้นายเกษม ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือ ตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับจากวันที่ 5 ต.ค.58 ซึ่งเป็นวันที่นายเกษมพ้นจากตำแหน่งสุดท้าย คือ รองนายกอบจ.เชียงใหม่ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช.ฯ มาตรา 34 วรรคสอง และพิพากษาให้จำคุกนายเกษม 6 กระทงๆ ละ 2 เดือน รวมจำคุก 12 เดือน ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. มาตรา 119 โดยพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เป็นเรื่องร้ายแรง องค์คณะฯ เสียงข้างมากจึงมีมติไม่รอการลงโทษ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษา นางดวงสุดา ภรรยาได้โผเข้ากอดให้กำลังใจ ก่อนที่นายเกษม จะถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ...