"มาร์ค"ชี้การเลือกตั้งไม่ใช่ทางออกเศรษฐกิจของไทย
"อภิสิทธิ์" ระบุ เลือกตั้งไม่ใช่ทางออกเศรษฐกิจไทย ด้านภาคธุรกิจ เผย เงินบาทจะอ่อนตัว-หุ้นขึ้น
(18สค.) เวลา 13.30 น. มีการสัมมนาทางวิชาการเรื่อง "โค้งสุดท้ายเศรษฐกิจไทยก่อนการเลือกตั้ง" มีผู้ร่วมสัมนาประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายศักดิ์ดา ศรีสังคม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และนายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)
นายอภิสิทธิ์กล่าาวว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยก่อนการเลือกตั้ง คนก็คงมองกันไปเรื่อย เพราะมองไปทางไหน ความรู้สึกก็คือความไม่ชัดเจนทางการเมือง ซึ่งคงต้องรอให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นต้นปีหน้า และต้องมองว่า หลังการเลือกตั้งแล้ว ผู้นำประเทศจะเป็นใครมีแนวนโยบายแบบไหน ทุกฝ่ายก็อยู่ระหว่างการรอคอย เพราะระยะเวลาที่เหลือคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ส่วนในระยะสั้นเศรษฐกิจไทยก็ยังบริหารได้ไม่สมดุล และเราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเป็นระบบเศรษฐกิจในสังคมโลกได้ ที่ผ่านมาเราประสบปัญหาค่าเงินบาทแข็งตัว เพราะเราพึ่งแต่การส่งออก เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัว แต่ผู้ส่งออกก็เป็นทุกข์ เพราะการส่งออกขาดทุน สภาพแบบนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้เกิดขึ้นต่อเนื่อง เพราะทำให้เศรษฐกิจไม่สมดุล ถ้าเรายังปล่อยให้เศรษฐกิจล่องลอยเป็นแบบนี้ เราจะหาทางออกไม่ได้ เราจึงต้องตั้งโจทก์ว่า จะแก้ไขปัญหาตรงนี้อย่างไร เพราะวันนี้แม้เราจะมีทุนสำรองเงินในประเทศสูงกว่าหนี้สาธารณะ ระบบธนาคารมีสภาพคล่อง คนกลับไม่กล้าใช้จ่าย ตรงนี้มันเกิดเพราะอะไร ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจ ที่หลายคนจับจ้องว่าหลังเลือกตั้งทุกอย่างน่าจะดีขึ้น
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จากการวิเคราะห์เช่นนี้ถือว่าถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะลำพังแค่มีการเลือกตั้งคงไม่พอ เพราะการเลือกตั้งที่เที่ยงธรรมและบริสุทธิ์ จะทำให้ความเชื่อมั่นทางการเมือง และการลงทุนกลับมา แต่ก็แค่ครึ่งเดียว ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ไม่ใช่เฉพาะความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่เป็นเรื่องของนโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจด้วย ซึ่งหากก่อนการเลือกตั้ง รัฐบาลยังไม่ส่งสัญญานแต่เนิ่น ๆ ก็จะทำให้กลายเป็นตัวใครตัวมัน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่า ประเทศไทยไม่มีทางตัดออกจากระบบโลกได้ และเราไม่สามารถแอบซ่อน หรือหลีกเลี่ยงที่จะไม่แข่งขันกับต่างประเทศ ดังนั้นเราต้องเน้นในเรื่องการพัฒนาคน ทั้งเรื่องโอกาสและการพัฒนาด้านการศึกษา
ด้านนายศักดิ์ดา กล่าวว่า ในระยะยาวสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ หลังการเลือกตั้ง หากค่าเงินบาทแข็งตัว เราจะปรับตัวอย่างไร ตอนนี้ ธปท.ได้เดินไปถูกทางแล้ว แต่หากประเทศไทยจะให้ผ่านไปได้ ก็ต้องดูระบบเศรษฐกิจทั้งหมด ซึ่งคาดการณ์ว่าในต้นปีหน้า ก็จะมีการรีเรทอันดับการลงทุนของประเทศๆไทย ซึ่งไทยน่าจะกลายเป็นประเทศหนึ่งที่น่าจะเข้ามาลงทุน สำหรับค่าเงินบาทตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 จะมีวัฎจักรของค่าเงินบาที่อ่อนตัวและแข็งตัว แต่ในปี 2006 กลับมีความผิดเพี้ยน ที่ค่าเงินไม่ยอมอ่อนตัว แต่กลับแข็งขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากการขายหุ้นชินคอร์ป รวมถึงการที่มีข่าวว่า มีการเก็งกำไรค่าเงินบาทในประเทศไทย ดังนั้นเชื่อว่าน่าจะมีการดีดตัวกลับ และอาจจะดีกลับต่อไปเรื่อยๆ เพราะการส่งออกน่าจะดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามแม้จะมีการดีดตัวกลับ แต่คาดว่าค่าเงินคงไม่อ่อนตัวถึง 38 บาทต่อดอลลาร์ แต่จะคงอยู่ที่ 30 ต้นๆ
ด้านนายพิชิต กล่าวว่า สำหรับเศรษฐกิจช่วงการเลือกตั้งจะมีอิทธิพลแน่นอน เพราะก่อนการเลือกตั้งจะมีการใช้เงินอย่างมหาศาล ดังนั้นภาพช่วงการเลือกตั้ง จึงถือว่าเป็นภาพที่ดี เพราะการเลือกตั้งตลอดมากว่า 10 ปี หนึ่งเดือนก่อนเลือกตั้ง หุ้นจะขึ้นประมาณ 3% และหลังเลือกตั้ง 1 เดือน หุ้นจะขึ้นเกือบ 2% รวมแล้วหุ้นจะถีบตัวสูงขึ้นช่วงเลือกตั้งประมาณ 5% ดังนั้นถือว่าเป็นเรื่องดี