พ.ต.ท.ทักษิณต้องเร่งพิสูจน์ตนเอง

เพื่อรับทราบการพิจารณาคดีในฐานะที่ตกเป็นจำเลยในความผิดฐานทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก โดยอ้างเหตุตามคำชี้แจงของทนายความที่ระบุว่า เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของตนเองและพยาน รวมทั้งยกข้ออ้างเรื่องความสมานฉันท์ของคนในชาตินั้น ซึ่งศาลฯได้ยกคำร้องและเห็นชอบตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดขออนุมัติออกหมายจับ เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีซึ่งกรณีดังกล่าวน่าจะกระทบกับภาพลักษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณอดีตนายกรัฐมนตรีมากพอสมควร

ช่วงที่ผ่านมาถ้าหากใครติดตามการให้สัมภาษณ์หรือพูดผ่านสาธารณะหลายครั้งหลายหน ของบุคคลที่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีต่าง ๆ ตามการสอบสวนขององค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบ คตส. และ ป.ป.ช.มักจะวิจารณ์การทำงานของตุลาการว่าอาจจะถูกแทรกแซงหรือมีการชี้นำจากผู้มีอำนาจบางคน ทั้งที่ตามความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ล้วนเห็นตรงกันว่า ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 ที่ผ่านมา การทำงานของหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ล้วนมีความเป็นอิสระและมีความคืบหน้าในการทำงาน จนทำให้หลายคดีเห็นผลในทางปฏิบัติ
 
ดังนั้นการไม่ยอมเดินทางมาปรากฏตัวที่ศาลฎีกาฯของ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะถูกบางคนวิจารณ์ว่า เป็นความพยายามต้องการซื้อเวลา

โดยหวังว่าถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สถานการณ์ของตนเองอาจจะพลิกกลับ แต่อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทยอาจไม่ได้คิดว่า ถ้าหากให้ความร่วมมือในการไต่สวนคดีให้ปรากฏผลชัดโดยเร็ว มีบทพิสูจน์ออกมาอย่างไรทุกฝ่ายก็จะยอมรับ เพราะตนเองไม่ได้มีอำนาจทางการเมืองที่จะเข้าไปแทรกแซงหรือชี้นำได้ และหากศาลตัดสินว่าไม่มีความผิดก็ยังสามารถกลับเข้าสู่การทำงานทางการเมืองได้อีกครั้งโดยที่ไม่มีใครขัดขวาง
 
ในที่สุดเมื่อศาลอนุมัติออกหมายจับอดีตนายกรัฐมนตรี คงขึ้นอยู่กับบทบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ไล่ตั้งแต่สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงการต่างประเทศ ที่ต้อง พยายามดำเนินการเรื่องนี้ให้บรรลุเป้าหมายโดยเร็ว โดยเฉพาะการทำความเข้าใจให้รู้ว่ากรณีนี้ไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นคดีอาญาที่เกิดจากการกระทำผิดของผู้ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายอาญา แต่สิ่งสำคัญคือต้องชี้แจงให้ได้ว่าการพิจารณาคดีของบ้านเราตามกระบวนการยุติธรรม ไม่มีใครสามารถเข้าไปแทรกแซงได้ โดยมีบทพิสูจน์จากหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองที่กำลังเป็นผลงานปรากฏอยู่ในเวลานี้.