ซึ่งวันนี้มีกลุ่มชาวนาจาก จ.อุบลราชธานี เดินทางมาถึง 3 คันรถบัส โดยได้นำต้นข้าวออกรวงแล้ว ใส่กระเช้าตะกร้าห่อด้วยผ้าข้าวม้า มาร่วมให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลังจากที่วานนี้ (3 พ.ย.) ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อรับฟังปัญหาชาวนาที่ข้าวราคาตกต่ำ และได้นำเงินส่วนตัวซื้อข้าวเปลือกจากชาวนาโดยตรงเพื่อเตรียมสี และนำข้าวมาขายที่ กทม. ขณะเดียวกันก็ยังมีประชาชนกลุ่มอื่น เดินทางมาให้กำลังใจเหมือนเช่นเคย พร้อมกับช่อกุหลาบสีขาว
โดยก่อนเข้าห้องพิจารณา น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมาตรการยุ้งฉางของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการช่วยเหลือแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำขณะนี้ว่า ตนคงไม่กล่าวลงไปในรายละเอียด แต่มองด้วยหลักก็ไม่ต่างกับการจำนำข้าว และที่สำคัญรัฐบาลก็มุ่งจะช่วยเหลือชาวนาโดยไม่หวังผลกำไร-ขาดทุน
เมื่อถามถึงการลงพื้นที่ช่วยเหลือ ชาวนา ที่ จ.อุบลราชธานี วันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า จากที่ตนได้ไปสัมผัสกับพี่น้องชาวนา ก็ยืนยันว่าชาวนาลำบากจริงๆ จากราคาข้าวที่ตกต่ำแล้วยังมีปัญหาหนี้สินมากอีก ชาวนาจึงมีความจำเป็นที่จะต้องขายข้าวออกไปแล้วทำให้ขาดทุน จึงน่าเป็นห่วงก็อยากให้ทุกภาคส่วนร่วมกันช่วยเหลือชาวนา
เมื่อถามว่า ถูกมองว่าเป็นเรื่องดราม่าที่ร้องไห้ในการรับซื้อข้าวชาวนา น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ตนก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากประชาชน รู้ซึ้งถึงบุญคุณพี่น้องประชาชน วันนี้ประชาชนชาวนามีความเดือดร้อน แม้ว่าวันนี้ตนไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้ว แต่ก็ทำในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่เห็นใจช่วยพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะชาวนาที่ลำบากเดือดร้อน ตนนจึงลงไปไม่ได้มุ่งหวังเรื่องการเมืองแต่อย่างใด ซึ่งเป็นเรื่องของประชาชนคนหนึ่งที่จะทำงาน
"ถามว่ามองเป็นภาพดราม่า วันนี้ความรู้สึกของดิฉันตื้นตันใจกับน้ำใจชาวนาที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าความทุกข์ของชาวนานั้นทุกข์มาก ไม่มีแม้กระทั่งข้าวสารกรอกหม้อ ไม่มีแม้เงินใช้จ่ายประจำวัน แต่ก็ยังมาให้กำลังใจ ตรงนี้ดิฉันรู้สึกซาบซึ้ง ก็ขอขอบคุณพี่น้องชาวนาทุกคนที่ให้กำลังใจเหมือนพี่น้องประชาชนหลายๆที่ ที่มาให้กำลังใจ ถ้าถามว่าใครมาเป็นแบบดิฉันก็ย่อมรู้สึกในสถานการณ์แบบนี้ แต่ทุกข์ของดิฉันก็ไม่เท่าทุกข์ของชาวนาที่รู้สึก ก็อยากให้ทุกภาคส่วนช่วยเหลือชาวนา " น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำ
เมื่อถามว่าจะแนะนำมาตรการช่วยเหลือชาวนากับรัฐบาลอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ต้องให้รัฐบาลมองภาพรวมทั้งระบบและมองข้างหน้าด้วย โดยเฉพาะในเร็วๆ นี้ที่จะมีข้าวที่ชาวนากำลังจะเก็บเกี่ยวเข้ามาอีก ดังนั้นต้องมองทั้งระบบ ตนไม่สามารถก้าวล่วงไปแนะนำรัฐบาลได้ ซึ่งต้องมีทีมเศรษฐกิจที่เป็นมืออาชีพในการคิดแก้ปัญหา วันนี้ตนไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้ว ขออยากให้รัฐบาลมองว่า งานนี้เป็นงานที่รัฐบาลจะต้องเข้ามาแก้ไขให้กับชาวนาและประชาชน
เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ระบุว่าให้รับซื้อข้าวทั้งหมดหากจะช่วยเหลือชาวนา น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า "ถ้าดิฉันเป็นรัฐบาล ดิฉันจะทำ อย่างนั้น แต่วันนี้ดิฉันเป็นประชาชนคนหนึ่ง จึงทำเท่าที่กำลังมี นอกจากภาระที่ดิฉันต้องใช้จ่ายในครอบครัวแล้ว ภาระดิฉันยังต้องต่อสู้ในชั้นศาลอีก แต่คิดว่าน้ำใจต่างหากที่ชาวนาอยากได้รับ อยากเห็นทุกคนลงมาทุ่มเทในการที่จะใช้ทุกกำลังความสามารถช่วยเหลือชาวนา จะได้มาก ได้น้อย แต่ในส่วนของคนที่เป็นกลาง เป็นรัฐบาลก็มองว่าใครที่มาช่วยเหลือก็น่าจะยินดีและเปิดรับทุกคน"
อย่างไรก็ดีเมื่อถึงเวลานัด 09.30 น. นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะรวม 9 คน ได้ออกนั่งบัลลังก์ในนัดไต่สวนพยานจำเลยนัดที่ 6 คดีโครงการรับจำนำข้าว หมายเลขดำ อม.22/2558 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท
แต่ปรากฏว่า นายชีพ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวน ได้แจ้งต่อคู่ความว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง พยานที่จะมาไต่สวนในวันนี้ ได้ทำหนังสือแจ้งต่อทนายความจำเลย ขอเลื่อนการไต่สวนออกไปก่อน เนื่องจากมารดาป่วยอยู่ในขั้นวิกฤติ จึงขอเวลาดูแลมารดาที่โรงพยาบาลก่อน
โดยศาลสอบถามอัยการ โจทก์แล้ว ไม่คัดค้าน ศาลจึงให้เลื่อนการไต่สวนพยานปากนายกิตติรัตน์ออกไปก่อน ส่วนนัดไต่สวนพยานในวันที่ 18 พ.ย.นี้ ก็ยังคงนัดไว้ ซึ่งทนายความจำเลย จะนำ นายอำพน กิตติอำพน อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย อดีต รมช.คลัง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ มาไต่สวน
ขณะที่ศาลอนุญาตให้เพิ่มวันไต่สวนพยานจำเลยอีก 2 นัดในวันที่ 7 ก.ค. และ 21 ก.ค.60 เวลา 09.30 น.