ป๋าพร้อมให้อภัย เพื่อความสามัคคี

'ป๋า'พร้อมให้อภัย เพื่อความสามัคคี

แม้รัฐบาล คมช. และ กกต.จะระบุว่า มีการจ่ายเงินซื้อเสียงเพื่อล้มร่างรัฐธรรมนูญ 2550 แต่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ก็ยังเชื่อมั่นว่าคนไทยจะไปลงประชามติกันเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า มองเห็นแสงสว่างของการกลับเข้าสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ปลายอุโมงค์ และมั่นใจว่าร่างรัฐธรรมนูญ 2550 จะผ่านการทำประชามติในวันที่ 19 ส.ค.นี้ “ป๋าเปรม” ให้อภัยเพื่อรักสามัคคี

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 11 ส.ค. ที่สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เขตจตุจักร กทม. พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้เป็นประธานเปิดงาน “สีสรรพรรณไม้ เทิดไท้บรมราชินีนาถ” เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยมีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้การต้อนรับ

หลังจากนั้น พล.อ.เปรมได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงการสร้างความรักความสามัคคี เพื่อถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่ง พล.อ.เปรมไม่ได้ตอบคำถาม แต่ได้ย้อนถามผู้สื่อข่าว โดยหยุดคิดแล้วบอกว่า “หนูคิดว่าควรทำอย่างไรบ้าง ในความคิดของผม สิ่งที่ควรทำมากที่สุด คือการทำให้เกิดความสามัคคีปรองดองของคนในชาติบ้านเมือง อันไหนที่ละเว้นไม่พูดถึงก็น่าจะไม่พูดถึง อันไหนที่พอจะให้อภัยกันได้ก็ให้อภัยกัน เพื่อให้เกิดความรักความสามัคคีในบ้านเมืองของเรา”

ไม่พูดความเคลื่อนไหวม็อบ นปก.

เมื่อถามว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ที่ยังคงมีอยู่ และการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ก็ใกล้เข้ามาถึงเราจะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดความลงตัว พล.อ.เปรมตอบว่า “ผมไม่ขอตอบคำถามนี้ ผมอยู่ไกลจากปัญหานี้อยู่เยอะ” เมื่อถามว่า เราจะมีโครงการดีๆ แบบนี้อีกหรือไม่ เพื่อปลูกจิตสำนึกของคนในชาติ พล.อ. เปรมตอบว่า “เป็นคำถามที่ดีนะ ผมคิดว่าไม่ใช่เฉพาะโครงการนี้ แต่เป็นโครงการอะไรก็ได้ที่จะปลูกให้คนไทยเข้าใจว่า เรื่องที่มีความเห็นไม่ตรงกันนี้ก็โอเค แต่ว่าเรื่องจะมาโกรธกันไม่ดี” เมื่อถามว่า ถ้าหากว่ามีโครงการที่ดีแบบนี้ จะทำให้คนไทยที่มีความคิดเห็นแตกแยกกันหันกลับมามีความสามัคคี พล.อ.เปรมตอบว่า “ผมอยู่ห่างไกลจากเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นคำตอบอาจจะไม่ครอบคลุมมากนัก”

เชื่อคนไทยไปลงประชามติกันเยอะ

เมื่อถามว่า กองทัพบกจะมีผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ ที่มีแคนดิเดตถึง 3 คน มองถึงความเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้อย่างไร พล.อ.เปรมตอบว่า “ผมไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น”

เมื่อถามว่า ใกล้ถึงวันลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ในวันที่ 19 ส.ค.นี้ อยากให้มีการเชิญชวนประชาชนออกมาใช้เสียงลงประชามติเพื่อเปลี่ยนอนาคตของประเทศไทย พล.อ.เปรมตอบว่า ก็พูดกันทุกวันไม่ใช่หรือ เรื่องการชักชวนให้มาลงประชามติกันเยอะๆ ก็พูดกันอยู่ทุกวัน และมีการชักชวนกันอยู่ทุกวัน ก็คิดว่าน่าจะไปกันเยอะๆนะ เมื่อถามว่า การที่ประชาชนออกไปลงประชามติเป็นจำนวนมาก จะทำให้อนาคตการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงหรือไม่ พล.อ.เปรมตอบว่า ยังไม่ทราบผล ยังพูดไม่ได้ เมื่อถามว่า จะต้องรอให้มีการเลือกตั้งผ่านไปก่อนใช่หรือไม่ ถึงจะสามารถรู้ว่าอนาคตการเมืองไทยจะเปลี่ยนแปลงไปในทางไหน พล.อ.เปรมตอบว่า ต้องให้ทราบผลก่อนว่าเขาจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ จึงจะพอมองเห็นแนวทางว่าควรจะทำอะไรต่อไป

นายกฯปลื้มคนจะใช้สิทธิ 70%

เช้าวันเดียวกัน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เปิดบ้านพิษณุโลก” ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ แห่งประเทศไทย ช่อง 11 และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ถึงการทำหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีมา 300 กว่าวันแล้วว่า กำลังยังดีอยู่แน่นอน ในการทำงานมองถึงจุดหมายที่ต้องการบรรลุ คือการทำหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีให้ผ่านช่วงเวลาวิกฤติและส่งมอบงานให้รัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้ง ที่คาดหวังว่าน่าจะมีการเลือกตั้งภายในปลายปีนี้ เมื่อถามว่า คิดว่าการลงประชามติวันที่ 19 ส.ค. จะผ่านหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า ไม่สามารถตอบได้ เพราะยังมีเวลาอีกพอสมควรที่เราจะประเมิน ตรวจสอบท่าทีต่างๆ ที่ได้รับข้อมูลขณะนี้เป็นเพียงข้อมูลส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่การตัดสินใจทำอะไร ถ้ามีข้อมูลทันสมัย ทันเวลา เราจะตอบได้ง่ายขึ้น แต่ขณะนี้ข้อมูลตนยังไม่ครบถ้วน เมื่อถามว่า จากการลงพื้นที่ภาคอีสานที่ จ.นครพนม กาฬสินธุ์ ประชาชนบอกว่าจะไปใช้สิทธิลงประชามติเกิน 70% จากที่ตั้งเป้าไว้ 60% รู้สึกอย่างไร พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า คงเป็นกำลังใจ อาจเรียกว่าเป็นยาหอมก็ได้

เชื่อคนบุรีรัมย์คว่ำร่าง รธน.น้อย

เมื่อถามว่า มองอยางไรที่ จ.สุรินทร์ ศรีสะเกษและบุรีรัมย์ ที่เป็นพื้นที่มีกระแสแจกเงินเพื่อคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ นายกฯตอบว่า เป็นเรื่องที่เป็นข่าว บางส่วนอาจจะเป็นจริง แต่คิดว่าไม่มีน้ำหนักมากจนกระทั่งทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เกิดความคิด ความรู้สึกไปปฏิบัติตามนั้น ยังเชื่อมั่นในวิจารณญาณประชาชนว่า ทุกคนก็อยากทำหน้าที่ตัวให้ดีที่สุด เมื่อถามว่า การรณรงค์ให้ประชาชนไปลงประชามติ โดยอำนวยความสะดวกในการขนคน มองว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีการลงประชามติ ดังนั้นหลักการลงประชามติ ถ้าเราสามารถให้ประชาชนไปใช้สิทธิเกินกว่า 50% ไม่ถึง 60% ก็จะเป็นที่ยอมรับตามหลักการลงประชามติว่า เป็นส่วนที่ประชาชนได้ให้ประชามติจริงๆ

แย้มเริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์

เมื่อถามว่า ขณะนี้นายกฯนับถอยหลังสู่วันที่ลงจากเก้าอี้หรือยัง พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า ดูว่าใกล้ขึ้น ถ้าพูดอย่างที่พูดกับบุคคลใกล้ชิด คือมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เป็นแสงสว่างทั้งส่วนของตนเองและเป็นแสงสว่างของการกลับเข้าสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่จะได้มีการเลือกตั้งกัน เมื่อถามว่า พอประเมินได้หรือไม่ว่า นายกฯคนต่อไปจะเป็นคนอายุน้อย อายุมาก หรือจะมีนโยบายอย่างไร พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า ส่วนตัวคงตอบไม่ได้ แต่สิ่งที่ตอบได้ คือการเคารพตัดสินใจของประชาชนว่า จะเลือกใครขอให้ เลือกคนดี เพราะปีนี้เป็นปีมหามงคล เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา จึงควรทำความดีถวาย ไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำตามกระแสพระราชดำรัสในหลายเรื่อง ทั้งนี้ เรื่องการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ ต้องติดตามดู เพราะเป็นวิวัฒนาการของการทำงานทางการเมือง รัฐบาลนี้พยายามวางรากฐานเรื่องการพัฒนาประชาธิปไตย จะมีสภาพัฒนาประชาธิปไตย มีการที่จะติดตามเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน สิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือตรวจสอบผู้มาทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองว่า ไม่สามารถที่จะทำได้ในลักษณะสองมาตรฐาน

ไม่ห้ามทหารเกษียณเล่นการเมือง

ผู้สื่อข่าวถามถึงความเหมาะสมที่ทหารจะมาเล่นการเมืองหลังเกษียณอายุราชการ นายกฯตอบว่า เป็นเรื่องการตัดสินใจของแต่ละบุคคล คิดว่าเมื่อมาถึงระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพแล้ว ต้องมีวิจารณญาณของตัวเอง มีการตัดสินใจที่ไม่เหมือนกัน คนเราไม่เหมือนกัน เปรียบเสมือนใบไม้ พระพุทธเจ้าบอกว่า ใบไม้ทุกใบในป่าดูแล้วน่าจะเหมือนกัน แต่จริงๆถ้าเอามาดูจะไม่เหมือนกันเลยสักใบหนึ่ง เมื่อถามว่า มองการเมืองหลังการเลือกตั้งว่าจะเป็นอย่างไร เพราะขณะนี้มีทั้งกลุ่มไทยรักไทย ไม่ใช่ไทยรักไทย โดยเฉพาะกลุ่มทหารที่มีการชักชวนนายทหาร จปร.7 ชั้นผู้ใหญ่ไปร่วมพรรคการเมือง พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า เมื่อพ้นจากการรับราชการไปแล้ว คงไม่ถือว่าเป็นทหารอีกแล้ว ทหารนอกราชการคือคนไทยคนหนึ่ง เหมือนตนก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง ไม่ได้แยกว่าเป็นทหารหรือประชาชน ในยามที่ไม่ได้สวมเครื่องแบบ ไม่ได้ทำหน้าที่ก็เป็นคนธรรมดา เป็นเรื่องที่อยากบอกว่า ความรู้สึกที่มีการแยกอาชีพนั้น อาชีพนี้ไม่ควรเกิดขึ้น ไม่ควรจะแยก เมื่อเป็นคนไทยแล้ว เขาพ้นจากหน้าที่ไปแล้วก็คือคนไทย ไม่ว่าจะมีอาชีพใดก็ตามเช่น หมอ นักการเมือง นักกฎหมาย พ่อค้า ถ้าอยากให้ บ้านเมืองก้าวหน้าคงต้องมองในภาพรวมว่านี่คือคนไทย

ไม่อยากเห็นคนไทยจับอาวุธฆ่ากัน

เมื่อถามว่า ความสมานฉันท์ที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนี้จะประสานกันได้ไหม พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า คงต้องใช้เวลา เพราะเป็นเรื่องความแตกต่างทางความคิด ถ้าเป็นไปโดยไม่ถึงขั้นก่อความรุนแรงขึ้นมา ก็เป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง เพราะต้องยอมรับว่า คนย่อมคิดเห็นแตกต่างกันได้ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ควรทำให้เกิดความแตกแยก กรณีพื้นที่ภาคอีสาน เคยพูดกับผู้นำที่เคยร่วมทำงานกันมาในพื้นที่ว่า ต้องไม่ให้ประวัติศาสตร์กลับมาซ้ำรอย ในพื้นที่อีก ไม่ต้องการเห็นคนไทยจับอาวุธขึ้นมาต่อสู้กันอีก นั่นคือคำมั่นสัญญาที่พูดกันทั้งสองด้าน คือความจริงใจที่พูดกัน แม้กับบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่อายุ 60 กว่า 70 กว่า ที่เคยเข้าป่าจับอาวุธขึ้นมาต่อสู้ ปัจจุบันก็มาจับมือถือแขนกัน เป็นพี่น้องกัน เข้าใจกันว่านี่คือแผ่นดินไทย ไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นในลักษณะอย่างนั้นอีก

เมินกระแสหนังสือโปรโมต “ทักษิณ”

เมื่อถามว่า แสดงว่าหากมีกระแสเรือใบสีฟ้าจะพัดมาถึงแถวๆนี้ หรือกรณีหนังสือ “ทักษิณ Where are you?” และ “ทักษิณ 24 ชั่วโมง หลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.” ก็ไม่มีความรู้สึกว่าจะเป็นปัญหาใช่ไหม พล.อ. สุรยุทธ์ตอบว่า ใช่ เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนสามารถรับรู้และใช้เหตุผลตัวเองในการพิจารณาได้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ถูกที่ควร อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีโอกาสได้อ่านหนังสือทั้งสองเล่มดังกล่าว เพียงแต่อ่านสรุปที่ลงในนิตยสารรายสัปดาห์ คิดว่ามีเวลาคงจะขออ่านบ้าง เมื่อถามว่าในการเลือกตั้ง ประชาชนควรเลือกคนเก่ง หรือคนดีอย่างไร นายกฯตอบว่า ในส่วนนี้เป็นการอัญเชิญกระแส พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ พระราชทานไว้นานแล้วว่า บ้านเมืองของเราประกอบด้วยคนสองประเภท คือมีทั้งคนดีและคนไม่ดี การที่เราจะทำให้บ้านเมืองของเราเจริญก้าวหน้า เราก็ต้องช่วยกันเลือกคนดีมาดูแลบ้านเมือง นั่นเป็นกระแส พระราชดำรัสที่ได้พระราชทานไว้นานแล้ว คิดว่าไม่ได้ ล้าสมัย คือคนดี ชาวบ้านจะเห็นเองว่า ในความเป็นคนดีของเขานั้นจะต้องมีความสามารถ อาจจะไม่ถึงขั้นเก่ง แต่ว่ามีความสามารถที่จะนำบ้านเมืองไปรอดปลอดภัยได้

เผยตัวเลือก ผบ.ทบ.ใหม่มี 3 คน

เมื่อถามว่าในฐานะนายกรัฐมนตรีได้มีโอกาสวางตัวผู้นำเหล่าทัพคนใหม่หรือไม่ นายกฯตอบว่า ในหน้าที่นายกรัฐมนตรีจะรับฟังข้อเสนอแนะจาก รมว.กลาโหม และ รมว.กลาโหมจะรับฟังข้อเสนอแนะจาก ผบ.เหล่าทัพ และมีการประชุมหารือกัน นั่นเป็นวิธีที่ได้ปฏิบัติสืบต่อกันมา ในสมัยที่ตนเป็น ผบ.เหล่าทัพได้มีโอกาสเสนอว่า มีบุคคลใดที่ควรจะขึ้นมาทำหน้าที่ต่อไปบ้าง เป็นลักษณะที่ทำกันมาเกือบจะเรียกว่าเป็นประเพณีอยู่แล้ว คิดว่าไม่มีอะไรที่ผิดแปลกไปในปีนี้ เมื่อถามว่า พอรู้แล้วหรือยังว่าผู้นำเหล่าทัพคนใหม่จะเป็นใคร นายกฯตอบว่า รมว. กลาโหมพูดว่าผู้อยู่ในข่ายได้รับการพิจารณาขณะนี้ ในส่วนกองทัพบกมีตัวเลือกอยู่ 3 ท่าน ซึ่งเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไปแล้ว ก็รอข้อเสนอแนะจาก รมว.กลาโหมว่า เมื่อผ่านการพิจารณาและผ่านการกลั่นกรองแล้วจะอยู่ใน 3 ท่านที่ว่านี้ไหม เมื่อถามว่าทั้ง 3 คนที่ว่านี้มีใครที่มีโอกาสตรงกับใจนายกฯบ้างไหม พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า ยังไม่มี เพราะไม่อยากตั้งความหวังอะไรไว้มากนัก ในชีวิตผมไม่ค่อยได้ตั้ง เพราะไม่ค่อยคาดหวังอะไรมากเกินไป อย่าไปทำให้เกิดเป็นความอยาก เป็นความคิดที่อยากมี อยากเป็น อยากเห็น ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ทุกคนมีผู้ที่ชื่นชอบ และไม่ชอบอยู่บ้างเป็นธรรมดา เพราะเมื่อมีตัวเลือกขึ้นมา ทุกคนจะต้องคิดว่าคนนี้น่าจะได้รับการคัดเลือกมากกว่า

อุ้มคลังแก้ค่าเงินบาทแข็งถูกจุด

เมื่อถูกถามถึงกรณีกระทรวงการคลังตอบกระทู้จากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ถึงมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเรื่องค่าเงินบาท นายกฯตอบว่า คิดว่าชี้แจงอย่างครบถ้วนแล้ว เห็นว่าแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ไม่มีสูตรสำเร็จที่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับหลายอย่าง ผู้ที่ทำหน้าที่โดยตรงคือ ผู้ติดตามสถานการณ์และวิเคราะห์สถานการณ์ที่มีข้อมูลต่อเนื่อง ทันสมัย จะเป็นผู้ที่ตัดสินใจได้ดีกว่าผู้ไม่มีข้อมูล หรือมีข้อมูลไม่ทันสมัย ยิ่งสภาวะปัจจุบันในยุคโลกาภิวัตน์ สิ่งต่างๆจะต้องติดตามอย่างต่อเนื่องไม่ว่าเรื่องตลาดการเงินระหว่างประเทศ การลงทุนของต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร สิ่งเหล่านี้ต้องมีเจ้าหน้าที่ติดตามอย่างใกล้ชิด แล้วถึงจะตัดสินใจได้ว่าควรจะทำอะไร อย่างที่สหรัฐอเมริกาใช้คำพูดว่าระบบ CEO คือมอบความรับผิดชอบให้บุคคลที่เรียกว่า CEO ไปพิจารณาคนเดียว เพื่อตัดสินใจว่าจะลงทุนที่ไหนให้กำไรผลตอบแทนดีที่สุดคือ การบริหารความเสี่ยง โดยเอาเงินลงทุนไปไว้ที่บุคคลหนึ่ง แต่ประเทศชาติทำอย่างนั้นไม่ได้ คงบริหารความเสี่ยงลักษณะเช่นนั้นไม่ได้ การบริหารความเสี่ยงที่ดีที่สุด คงอยู่ที่การพิจารณาจากข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นไปตามเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญ

ไม่รับประกันค่าเงินบาทไม่แข็งขึ้น

เมื่อถามว่านักวิชาการระบุว่าหากรัฐบาลไม่รีบแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ค่าเงินบาทจะแตะที่ 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯแน่นอน มีมาตรการอะไรหรือไม่ที่จะทำให้สบายใจได้ว่า ค่าเงินบาทจะไม่แตะที่ 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า คงไม่ได้มีการตั้งเป้าแน่นอน เราพูดกันว่าเรื่องการบริหารในปัจจุบันคือ การให้มีเสถียรภาพทางการเงินคือ ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้นๆอย่างรวดเร็วมากนัก ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงค่าเงินในระยะเวลาสั้นๆและมากๆ จะทำให้มีปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม เรื่องของค่าเงิน สิ่งที่ไม่สามารถบอกได้คือ ไม่สามารถจะบอกว่า ค่าเงินจะอยู่ที่ไหน เพราะถ้าเผื่อบอกแล้วจะมีผู้ใช้ข้อมูลเหล่านั้นเป็นประโยชน์ในการลงทุนล่วงหน้าไว้ก่อน แล้วนำกำไรอันนั้นไปเป็นประโยชน์ คนที่มีความรู้ความสามารถด้านนี้มีเยอะ จึงไม่สามารถให้แนวทางกับผู้บริหารกิจการต่างๆในด้านเงินทุน การลงทุน ถ้ามองในแง่ร้ายก็บอกว่าพวกนี้คือผู้เก็งกำไร แต่จริงๆไม่ได้เป็นผู้เก็งกำไรคือ ทุกคนก็อยากจะบริหารความเสี่ยงของตัวให้ดีที่สุด มีผลตอบแทนดีกว่า และมีโอกาสสูญเสียน้อย

ส่งลองกองร่วมงานอาหารฮาลาล

พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ส่วนเรื่อง พ.ร.บ.การประกอบกิจการคนต่างด้าวนั้น ได้ผ่าน ครม.ไปแล้ว อยู่ในชั้นของ สนช. ที่คณะกรรมาธิการเสียงส่วนน้อยมีความเห็นว่า ควรมีการพิจารณาคำนิยาม “คนต่างด้าว” ให้เข้มข้นขึ้นกว่าร่าง พ.ร.บ.ที่รัฐบาลเสนอเข้าไป แต่เราได้มีการรวบรวมข้อมูล ทำความเข้าใจกับนักลงทุนต่างด้าวมาพอสมควร แล้วได้ข้อสรุปว่าตรงนี้เป็นจุดสมดุลแล้ว จากเดิมเกือบจะเรียกว่าเปิดฟรี ก็มาถึงจุดค่อนข้างจะสมดุล คิดว่านักลงทุนจะปรับตัวได้ทัน คิดว่าผู้ลงทุนต่างๆเริ่มดูกันว่าจะไปทางไหนกันแน่ พูดกับ รมว.พาณิชย์ว่า จะต้องรอฟังการตอบรับจากทุกภาคส่วน ในช่วงระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ว่าจะเป็นอย่างไร และหาทางว่าควรปรับแก้อย่างไร แต่แน่นอนว่าสิ่งที่ได้ลงมติไปแล้ว ไม่สามารถไปแก้ไขได้ ส่วนปัญหาผลผลิตทางการเกษตรนั้น ต้องยอมรับปีนี้ผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ มีมากเป็นพิเศษ เช่น ลองกอง มังคุด เงาะ ลำไย มีผลผลิตเกินกว่า 50% แต่รัฐบาลได้มีการเตรียมการรองรับไว้แล้ว โดยคุยกับ รมว.เกษตรและสหกรณ์ รมว.พาณิชย์ รมว. มหาดไทย ว่าจะมีการเตรียมการรองรับผลผลิตเหล่านี้ โดยจะนำลองกองไปประเทศจีน ที่จะมีงานอาหารมุสลิมที่เรียกว่าอาหารฮาลาล เพื่อเป็นการเปิดตลาดในเรื่องของอาหารฮาลาล

ปลูกฝังหลักเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา

พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวถึงการลงพื้นที่ จ.นครพนม และกาฬสินธุ์ ว่า ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงด้านกายภาพ พื้นที่ ประชาชน โดยประชาชนมีหน้าตาแจ่มใส การแต่งกายมีค่ามากขึ้น เช่น นาฬิกา เสื้อ สร้อย ส่วนพื้นที่ก็มีการเปลี่ยนแปลงจากที่เคยแห้งแล้ง ทำการเกษตรแบบปลูกพืชชนิดเดียว ก็เป็นการปลูกพืชหลายชนิดมากขึ้น เมื่อถามว่า คิดว่าเป็นเรื่องยากไหม หากจะให้ชาวบ้านยึดหลักอยู่ดีมีสุข ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงให้ชาวบ้านสัมผัสได้ ถ้าเทียบเท่าหลักการประชานิยมก่อนหน้านี้ พล.อ. สุรยุทธ์ตอบว่า คงจะไม่ยาก คำว่า อยู่ดีมีสุข ถ้าหากเราอยู่ดี แต่ไม่มีสุข คือเป็นหนี้ ไปใช้สอยเกินกำลัง ก็ไม่มีความสุข ต้องหาเงินมาใช้หนี้ อยากจะให้ประชาชนเข้าใจว่า บางเรื่องที่เรากำลังทำอยู่ ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ เมื่อถามว่า จะสามารถนำหลักการเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ในพื้นที่ภาคอีสานนำไปปรับใช้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ไหม พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า เรื่องเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เป็นเรื่องการสร้างความเชื่อถือขึ้นมา คิดว่าไม่ว่าคนชาติไหน ภาษาใด เมื่อมีความจริงใจที่จะช่วยกันแก้ปัญหา พูดกันตรงไปตรงมา ทุกคนจะเข้าใจและให้ความร่วมมือ ถ้าไม่มีอะไรที่แอบซ่อนอยู่ข้างหลัง

ขอใช้ชีวิตธรรมดาหลังพ้นเก้าอี้

เมื่อถามว่า หลังจากลงจากตำแหน่งแล้วมีแผนสำหรับตัวเองหรือยัง พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า อยากที่จะกลับมาเป็นประชาชนธรรมดา และมีโอกาสกลับมาเยี่ยมเยียนคนรู้จัก มีความไว้วางใจ เชื่อใจ ไม่ว่าจะในส่วนไหนของประเทศไทยก็ตาม นั่นเป็นสิ่งอยากทำ ชอบอยู่ในชนบทมากกว่าในเมืองตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ใช้ชีวิตในเมืองเฉพาะในช่วงบั้นปลายเท่านั้นเอง เมื่อถามว่าหลักธรรมที่นายกฯยึดในหัวใจคืออะไร พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า ความซื่อสัตย์ ซื่อตรงแค่นั้นเอง จะคลุมถึงศีล 5 ทั้งหมด เพราะไม่สามารถไปผิดลูกผิดเมียเขาได้ ถ้าบอกว่าจะไม่ดื่มก็ต้องไม่ดื่ม นั่นคือความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ถ้าเรารักษาความซื่อสัตย์ได้ ถือว่ามีศีลมีธรรมในหัวใจ เมื่อถามว่าหลังจากเป็นนายกฯได้มีโอกาสนั่งสมาธิทุกวันไหม พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่าทำไม่ได้ทุกวัน แต่พยายามทำในวันที่มีเวลาพอ การทำสมาธินั้น ต้องมีความพร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ สถานที่ถึงจะทำได้ง่าย เมื่อถามว่าคิดว่ารัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศ ควรยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ไหม พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า สิ่งนี้เป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง คิดว่ารัฐบาลคงเปลี่ยนแปลงในเรื่องต่างๆยาก ถ้าชาวบ้านบอกว่า อยากได้อย่างนี้ อยากเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าอย่างอื่น รัฐบาลใดก็ตามต้องตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน

“ธีรภัทร์” ควงนางงามตีปี๊บประชามติ

เที่ยงวันเดียวกัน ที่หน้าศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ พร้อมด้วย “น้องส้ม” น.ส.กนกกร ใจชื่น มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2007 ได้ร่วมเดินรณรงค์ประชาสัมพันธ์การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 เพื่อกระตุ้นและสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน โดยนายธีรภัทร์กล่าวว่า รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนให้ออกมาใช้สิทธิลงประชามติ ส่วนจะเห็นชอบหรือไม่เป็นการตัดสินโดยอิสระ เพราะเป็นการใช้สิทธิพื้นฐานที่สำคัญ ในการกำหนดกติกาของบ้านเมือง และอนาคตของระบอบประชาธิปไตย จึงอยากจะเชิญชวนให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ และในช่วง 1 สัปดาห์ที่เหลือนี้ รัฐบาลจะเร่งลงพื้นที่ในจุดต่างๆ เช่น สวนจตุจักร ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว ถนนสีลมและที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อถามว่า หนักใจหรือไม่ที่แกนนำกลุ่มไทยรักไทยรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่อง นายธีรภัทร์ตอบว่า ไม่หนักใจ เพราะวันนี้ประชาชนตื่นตัวมากขึ้น และเข้าใจรัฐธรรมนูญมากขึ้น เห็นได้จากผลโพลที่ออกมา มีตัวเลขที่น่าพอใจว่าจะมีคนมาใช้สิทธิและรับร่างรัฐธรรมนูญถึง 77.9% แต่เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญของรัฐบาล เพียงแต่ต้องการให้ประชาชนออกมา ใช้สิทธิเท่านั้น

เชื่อคนไทยไม่โง่หลงกระแสล้ม รธน.

ต่อข้อถามว่าแกนนำกลุ่มไทยรักไทยยังผูกโยงการลงประชามติให้ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นของขวัญต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯกลับประเทศไทย นายธีรภัทร์ตอบว่า คิดว่าประชาชนมีปัญญาพอที่จะพิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร มีเหตุผลที่ถูกต้อง ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินโดยอิสระ คิดว่าประชาชนรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรและมีเหตุผลพอ ในการตัดสินใจครั้งนี้ ว่าจะตัดสินใจกับอนาคตของชาติบ้านเมืองอย่างไร ส่วนที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงหลักฐานการใช้เงินคว่ำร่างรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน ไม่ใช่เป็นเพียงการพูดเพื่อสร้างกระแสเท่านั้น รมต.ประจำสำนักนายกฯตอบว่า เรื่องนี้ กกต.ที่เป็นองค์กรอิสระ ก็ยอมรับแล้วว่ามีกระแสการใช้เงินในภาคอีสานบางจังหวัด จึงต้องการสอบสวนกันในทางลับ และกฎหมายว่าด้วยความเรียบร้อยในการออกเสียงประชามติ ไม่ได้เอาผิดผู้รับเงินหรือทรัพย์สิน แต่เอาผิดกับผู้ให้หรือเสนอให้ เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดผู้ที่รับเงินโดยที่ไม่ได้มีการเรียกร้อง ขอให้ไปแจ้งความดำเนินคดี หากเกรงกลัวอิทธิพลขอให้แจ้ง กกต.ในทางลับเพื่อสืบสวนต่อไป หากเราทุกคนช่วยกันการใช้เงินคว่ำรัฐธรรมนูญคงเป็นไปได้ยาก

“บี้-แพนเค้ก” ปลุกคนรุ่นใหม่ใส่ใจ รธน.

ขณะเดียวกัน ที่บริเวณหน้าลานฮาร์ดร็อคคาเฟ่ สยามสแควร์ เครือข่ายความร่วมมือนิสิตนักศึกษาเพื่อพัฒนาสังคม (คนส.) ประกอบด้วยตัวแทนนักศึกษาจาก 10 สถาบัน นำโดยนายศตวรรษ อินทรายุธ เลขาธิการศูนย์ประสานงานนักเรียนนิสิตนักศึกษา (นศ.) พร้อมด้วยกลุ่มดาราศิลปิน อาทิ นายสุกฤษฎ์ วิเศษแก้ว หรือบี้ เดอะสตาร์ แพนเค้ก น.ส.เขมนิจ จามิกรณ์ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์ปลุกกระแสคนรุ่นใหม่สนใจรัฐธรรมนูญ และเชิญชวนให้ออกมาแสดงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 19 ส.ค. ตามโครงการ “Pure Voice Pure Vote” และภายในงานได้จัดกิจกรรม อาทิ การให้ความรู้เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ การสาธิตลงประชามติจำลอง มินิคอนเสิร์ต การแสดงงิ้วธรรมศาสตร์


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์