พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ วัดสร้อยทอง กรุงเทพฯ โพสต์ข้อความถึงท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กรณีที่ให้สัมภาษณ์เรื่องชาวภูเก็ตฮือล้อมบ้านผู้ต้องหกาโพสต์หมิ่น ว่าเป็นมาตรการทางสังคม โดยระบุว่า
ที่จริงอยากจะตำหนิ ไม่ใช่สิ ต้องใช้คำว่า ขอตำหนิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ออกมาพูดเชิงสนับสนุนให้คนในสังคมใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายเพื่อคุกคามคนอื่นที่พูดหรือโพสต์ข้อความอันเป็นการพาดพิงถึงสถาบันในทางที่มิบังควร
ถึงจะอ้างว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นมาตรการการลงโทษทางสังคม ย่อมฟังไม่ขึ้นเลยทีเดียว และผิดจากความหมายของคำว่า มาตรการทางสังคมไปมาก ท่านเป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หน้าที่ของท่านคือต้องปกป้องคนจากความอยุติธรรม อันนี้เป็นหัวใจเลยนะ คนทำผิดหรือไม่ผิดอย่างไร ต้องให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ต้องได้รับการคุ้มครองตามหลักของสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่ให้คนในสังคมมาตัดสินกันเอง ลงโทษกันเอง ถ้าจะใช้มาตรการทางสังคมจริงจริง ท่านต้องขอความร่วมมือให้คนในสังคม หยุดให้ความสนใจ หยุดแชร์ต่อหยุดพูดถึงคนที่หมิ่นหรือพาดพิงถึงสถาบันในทางที่มิบังควร ถ้าจะเอาเรื่องหรือรับกับการะทำของคนพวกนั้นไม่ได้ ก็ขอไปแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้จัดการกันตามกฎหมาย นี่ต่างหาก คือมาตรการทางสังคม
แต่การที่ท่านออกมาพูดถึงคำว่า "มาตรการทางสังคม" ภายใต้บริบทของสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ นั่นกลายเป็นการที่ท่านกำลังไปรับรองความชอบธรรมว่า การข่มขู่คุกคามคนอื่น จนถึงทำร้ายร่างกาย อย่างการล้อมบ้าน การตบหน้า การถีบหัว กลายเป็นเรื่องที่ถูกต้องไปเสียแล้ว การละเมิดสิทธิทางร่างกายของคนอื่น เป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้ในสังคมเวลานี้ ท่านกำลังทำให้คนในสังคมลืมที่จะตั้งคำถามว่า การแอบอ้างความจงรักภักดีเพื่อการคุกคามทำร้ายคนอื่นนั้น เป็นเรื่องที่บังควรแล้วหรือไม่ เป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือเปล่า การใช้อารมณ์และความรู้สึกเกลียดชัง มากกว่าการใช้เหตุผล เพื่อถามหาที่มาที่ไปของเรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นผลดีต่อสังคมมากน้อยแค่ไหน
ก่อนหน้านี้อาตมาออกจะชื่นชมรัฐบาล ที่อย่างน้อยก็ยังมีกรุณาคุณและเรียนรู้ที่จะเห็นใจชาวบ้านมากขึ้น โดยออกมาชี้แจงว่า การไว้ทุกข์ หรือการถวายความอาลัยต่อพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าสีดำ (ซึ่งตอนนี้มีราคาแพงมาก) ก็ได้ เพียงแต่ติดริบบิ้นเป็นสัญลักษณ์ก็ได้ อันนี้ถือว่า รัฐบาลทำถูก และเข้าใจว่า ความรู้สึกของคนรวยและคนจนมีคุณค่าเท่ากัน ท่านนายกรัฐมนตรีเอง ก็ดูจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีมากขึ้นอยู่ไม่น้อย
อาตมาเห็นว่า ในโมงยามเช่นนี้ สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำนอกจากการถวายความอาลัยต่อพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ นั่นก็คือการออกมาเตือนสติประชาชน ให้ทุกคนเลิกคลุ้มคลั่งกันเสียที แล้วหันมาใช้ปัญญาและเหตุผล การเรียกร้องหรือขอความร่วมมือให้ทุกคนอยู่ในความสงบเรียบร้อย ทำหน้าที่ของตนอย่างที่ควรจะทำ เพื่อให้ประเทศชาติสามารถเดินหน้าต่อไปได้ การไม่เห็นด้วย หรือตำหนิใครก็ตามที่พยายามสร้างความวุ่นวายเดือดร้อน ในการคุกคามหรือทำร้ายเพื่อนร่วมสังคมคนอื่น เพียงเพราะอ้างถึงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ อันนี้คือสิ่งที่ท่านรัฐมนตรีต้องทำ
ถ้าคนในรัฐบาลนี้ มีสติปัญญามากพอ สามารถที่จะเรียนรู้เข้าใจประชาชนได้ เห็นอกเห็นใจประชาชนทุกฝั่งทุกฝ่ายมากขึ้น ห้ามปรามไม่ให้ใครแอบอ้างความจงรักภักดี เพื่อสร้างความวุ่นวายหรือทำลายภาพลักลักษณ์ของประเทศชาติโดยรวม นี่จะถือว่าเป็นคุณอย่างมาก ทั้งยังเป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ อย่างควรแก่การยกย่องและทำตาม