เมื่อวันที่ 10 ส.ค. คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่า
การสตง. กล่าวถึงความคืบหน้าการชำระบัญชีพรรคไทยรักไทยตามพ.ร.บ.พรรคการเมืองที่ต้องทำให้เสร็จภายใน 6 เดือน ว่าเกิดปัญหาในข้อกฎหมายเรื่องการประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์ให้เจ้าหนี้-ลูกหนี้ของพรรคไทยรักไทยมายื่นเรื่องเพื่อขอรับชำระหนี้คืน กำลังพิจารณากันว่าจะดำเนินการหรือไม่ เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่รู้ว่าจะไปเก็บเงินก้อนนี้จากใคร เนื่องจากพรรคไทยรักไทยถูกยุบไปแล้ว ส่วนตัวอยากฝากไปยังสื่อมวลชนช่วยประชาสัมพันธ์ให้เจ้าหนี้ลูกหนี้ที่ผูกพันอยู่กับพรรคไทยรักไทย หรือพรรคที่ถูกยุบเข้ายื่นแสดงหลักฐานแสดงสิทธิเรียกชำระหนี้คืนได้ที่สตง.ภายในสิ้นเดือนส.ค.นี้
คุณหญิงจารุวรรณกล่าวว่า
สัปดาห์หน้าจะส่งเจ้าหน้าที่สตง.ไปตรวจสอบทรัพย์สินของพรรคไทยรักไทยที่ตึกไอเอฟซีที ว่ามีทรัพย์สินส่วนไหนบ้างที่ต้องตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจากตึกไอเอฟซีทีเป็นทรัพย์สัมปทานจึงต้องดูว่ามีทรัพย์สินใดที่จะแยกออกจากตึกได้บ้าง และส่วนไหนเป็นทรัพย์สินที่นำเงินบริจาคมาซื้อ
จากการตรวจสอบบัญชีหลังถูกยุบพรรคพบว่า
เหลือทรัพย์สินอยู่ไม่มาก ตนได้สั่งให้ตรวจสอบย้อนหลังไป 5 ปี เพราะในทางบัญชีสามารถตรวจสอบและแสดงหลักฐานได้ว่าทรัพย์สินทั้งหมดไปอยู่ที่ไหนจึงต้องมีหลักฐานมาชี้แจง พร้อมกันนี้ได้แจ้งไปยังกกต.จังหวัดต่างๆ ให้สำรวจทรัพย์สินของพรรคไทยรักไทยและนำทรัพย์สินเหล่านั้นเสนอทะเบียนมาที่ สตง. เพื่อจะได้ประกอบการพิจารณาด้วย เมื่อได้เห็นตัวทรัพย์สินแล้วจึงจะพิจารณาเรื่องการขายทอดตลาดเพื่อนำเงินที่ได้ทั้งหมดบริจาคเข้ากองทุนพัฒนาพรรคการเมืองตามกฎหมายพรรคการเมือง
คตส.ตามยึดทรัพย์สินในตึกทรท.
"ความจริงอาคารไอเอฟซีทีไม่ได้เป็นของพรรคไทยรักไทย แต่เป็นของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร และทรัพย์สินที่เหลืออยู่ก็นิดเดียวไม่ถึง 10 ล้านบาท ส่วนใหญ่ทรัพย์สินที่ใช้เงินบริจาคซื้อก็อยู่ติดกับอาคารและที่ดินจึงต้องพิจารณาในแง่กฎหมายว่าควรจะเป็นของใคร คณะทำงานกำลังตรวจสอบหลักฐานถึงความเป็นเจ้าของจากนั้นจะดูว่าทรัพย์สินที่เกิดขึ้นสามารถแกะออกจากอาคารได้หรือไม่ ที่ยกได้ก็คงต้องนำมาพิจารณา" ผู้ว่าฯสตง. กล่าว
คุณหญิงจารุวรรณในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาทรัพย์สินบุคคลที่คตส.มีมติอายัดทรัพย์ กล่าวถึง
กรณีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ระบุถูกคตส.อายัดทรัพย์เกิน 200 ล้านบาทว่า เงินที่คตส.อายัดในส่วนของนายบรรณพจน์ไม่มีเกินมีแต่ขาด คตส.ยังไม่ได้อายัดเงินที่เป็นเช็คเล็กๆ ใบละ 3 แสนบาทบ้าง 5 แสนบาทบ้าง แต่ถ้านายบรรณพจน์มั่นใจว่าถูกอายัดเกินก็ให้แสดงมาว่าเป็นเงินก้อนไหน ต้องมีหลักฐานชัดเจนไม่ใช่พูดแต่ปาก