พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สร้างกระแสข่าวของตัวเองให้ชาวบ้านทราบเป็นระยะๆ
ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีใช้ยุทธวิธีต่างๆ เพื่อสร้างกระแสข่าวของตัวเองให้ชาวบ้านทราบเป็นระยะๆ โดยล่าสุดได้ออกหนังสือทักษิณ 24 ชั่วโมง หลังรัฐประหาร มีการกล่าวพาดพิงกล่าวหาบุคคลต่างๆนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาปกป้องและยืนยันว่า ข้อมูลในหนังสือดังกล่าวไม่จริง
“สุรยุทธ์” วอนสื่อช่วยโหมประชามติ
เมื่อวันที่ 6 ส.ค. เวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในรายการ “นายกฯพบสื่อทำเนียบฯ” ครั้งที่ 8 ถึงสถานการณ์ การเมืองว่า ขณะนี้การพัฒนาทางการเมืองได้คืบหน้าไปพอสมควร บรรดาพรรคการเมืองต่างๆมีการเตรียมตัวและพร้อมที่จะกลับเข้ามาสู่กระบวนการของการเลือกตั้งมากขึ้น เป็นจุดที่ตนคิดว่าเป็นสิ่งบอกเหตุที่ดี เมื่อเราผ่านการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญวันที่ 19 ส.ค.นี้ไป ภาพทางด้านของการพัฒนาทางการเมืองก็ยิ่งจะชัดมากยิ่งขึ้น ที่จะขอร้องสื่อในปัจจุบันคือ ให้ช่วยกันชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนไม่ว่าจะโดยวิธีการใดๆ จะโดยวิธีการที่มีการพูดคุยกันถึงข้อดีข้อเสียของรัฐธรรมนูญ อะไรต่างๆ ในลักษณะที่เป็นการให้ความรู้กับพี่น้องประชาชน จะเป็นสิ่งที่ดี
แต่สิ่งที่อยากจะให้สื่อได้ช่วยเหลือคือ
การที่จะช่วยกันชักจูงให้พี่น้องประชาชนได้มาใช้สิทธิในการลงประชามติ ไม่ว่าจะในลักษณะใดก็ตาม จะรับหรือไม่รับ เป็นข้อพิจารณาของประชาชน อยากให้สื่อได้ช่วยกันชักชวนในส่วนนี้
โต้ “ป๋า” ไม่เกี่ยวปฏิวัติ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากที่แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) เคลื่อนไหวอ้างว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อยู่เบื้องหลังการทำปฏิวัติ ตอนนี้มีหนังสือ “ทักษิณ 24 ชั่วโมงหลังรัฐประหาร” เป็นภาษาจีน ออกมาตอกย้ำอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ในส่วนของรัฐบาลจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า รัฐบาลคงทำความเข้าใจ อย่างที่ได้ชี้แจงไปแล้วว่า ตนและคณะรัฐมนตรี ได้ไปพบประธานองคมนตรีแล้ว และทุกคนรับฟังมาด้วยตัวเองว่า ท่านไม่ได้อยู่เบื้องหลัง ส่วนการตั้งข้อสงสัยต่างๆนั้น เป็นเรื่องที่ผู้ที่ตั้งข้อสงสัยนั้นอาจจะอยู่ในส่วนที่เขาตั้งข้อสงสัยได้ แต่คิดว่าในความเป็นจริง เราต้องยืนอยู่บนฐานของความเป็นจริง คือประธานองคมนตรีไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของการเข้ามายึดอำนาจทางทหาร
ระบุสั่งห้ามเผยแพร่ไม่ได้
ต่อข้อถามว่า ในแง่ของมาตรการสกัดกั้นหนังสือ “ทักษิณ 24 ชั่วโมงหลังรัฐประหาร” ในส่วนของรัฐบาลไทย จะมีการขอความร่วมมือต่างประเทศรวมถึงในส่วนของการเผยแพร่ในประเทศไทยด้วยหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ ตอบว่า ในเรื่องนี้ไม่จำเป็น เพราะจะเข้าข่ายรัฐบาลเข้า ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องสื่อ เรื่องการเผยแพร่ต่างๆ แต่เรามีหน้าที่ที่ทำความเข้าใจสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเท่านั้นเอง เราคงไม่ไปปิดกั้น เมื่อถามว่า รัฐบาลมั่นใจหรือไม่ว่าข้อมูลที่อยู่ในหนังสือดังกล่าว
ถ้าต่างชาติอ่านแล้วเขาจะเชื่อในสิ่งที่รัฐบาลชี้แจงไปก่อนหน้านี้มากกว่าข้อมูลในหนังสือ
พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า การชี้แจงทำความเข้าใจอยู่ที่ผู้ที่จะรับฟัง แน่นอนว่าคนที่รับฟัง คนที่อ่านจะต้องดูทั้ง 2 ด้าน เราจะไปบังคับไม่ได้ว่าให้เขาเชื่อตามที่ตนพูด เรื่องการทำความเข้าใจ คำชี้แจงต่างๆจะค่อยๆทำไปเรื่อยๆ เราคงไม่ได้ทำในวาระเดียว คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่เข้าใจแล้วว่าเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นอย่างไร และมีที่มาที่ไปอย่างไร ทุกคนอยากจะให้ช่วงเวลาวิกฤติผ่านพ้นไป
เชื่อคนส่วนใหญ่มุ่งสู่การเลือกตั้ง
ต่อข้อถามว่า นายกฯใช้หลักการอะไรประเมินว่าประชาชนคงจะเข้าใจในคำชี้แจงของรัฐบาลเกี่ยวกับการยึดอำนาจที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้ระบุไว้ในหนังสือ “ทักษิณ 24 ชั่วโมงหลังรัฐประหาร” เพราะว่าดูเหมือนว่า เท่าที่ฟังเสียงระดับรากหญ้า ส่วนใหญ่ยังยกมือให้กับขั้วอำนาจเก่าอยู่ พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า ก็ฟัง คิดว่าส่วนใหญ่เขาอยากให้มีการเลือกตั้ง และก้าวไปข้างหน้ามากกว่าที่จะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นใด นั่นเป็นเรื่องที่คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่เข้าใจอยู่แล้ว ตนไม่ได้เป็นผู้ที่เข้าไปดำเนินการยึดอำนาจ แต่เข้ามาทำหน้าที่ช่วยแก้ไขเหตุการณ์ในเวลาวิกฤติช่วงนี้เท่านั้น ฉะนั้น อะไรที่เราสามารถทำได้ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ตรงนี้เราจะพยายาม
ลั่น “บ้านเมืองไม่ใช่ของผมคนเดียว”
เมื่อถามอีกว่า เรื่องเลือกตั้งไม่ใช่สูตรสำเร็จอย่างเดียว เพราะดูเหมือนสภาพปัญหาบ้านเมืองจะยุ่งต่อไปในส่วนรัฐบาลจะยืนยันกับประชาชนได้อย่างไรว่า ความสงบสุขอะไรทั้งหลายจะกลับมา พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า “รัฐบาลยืนยันไม่ได้ อยู่ที่พี่น้องประชาชนคนไทยด้วยกันที่จะต้องช่วยกัน เพราะบ้านเมืองไม่ใช่ของผมคนเดียว เป็นบ้านเมืองของพวกเราทุกคน
ทุกคนมีสิทธิ์มีส่วนที่จะทำให้บ้านเมืองนี้มีความเจริญก้าวหน้า
มีความสงบร่มเย็น คิดว่าพี่น้องคนไทยทุกคนอยากเห็นและทำอย่างไรที่จะไปสู่จุดนั้นได้ เป็นเรื่องที่ทุกคนมีส่วนร่วม อย่างที่รัฐบาลได้พูดตลอดเวลาว่าอยากให้พี่น้องประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในทุกๆขั้นตอน นั่นคือสิ่งที่จำเป็นเพราะไม่เช่นนั้นบ้านเมืองของเราจะไม่มีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าเหมือนกับบ้านเมืองคนอื่น ซึ่งเขามีความเข้าใจว่าเขาทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าทำเพื่อประโยชน์ของส่วนตัว