ชาติ "ระบบทุน-ระบบทักษิณ"
เปลวสีเงิน / วันเสาร์ที่ปลายซอย
8 เมษายน 2549 กองบรรณาธิการ
ผมว่าไม่มีภาพอะไรที่น่าเหยียดหยามในเวลานี้เท่ากับภาพ "พวกแอบจิต" ในไทยรักไทยบางคนที่ แง่งๆ แย่งกันกระทั่ง "เงาเก้าอี้" นายกรัฐมนตรี "อันยังไม่มีตัวตน" แม้กระทั่งครบ ๑ เดือนจากการเลือกตั้งแล้วก็เถอะ คิดหรือว่า จะมีรัฐสภา จะมีนายกฯ และจะมีรัฐบาลใหม่ ภายใต้ระบอบทักษิณ เกิดขึ้นได้จริงๆ?
ยังไงๆ ก็ต้องชมนายกฯ ทักษิณ ท่านฉลาดและมองทะลุล่วงหน้าว่า "ต้องมีปัญหา ๕๐๐ เป็นเงื่อนไขทางเทคนิคให้สภาเปิดไม่ได้แน่"
ก็เลยฉวยจังหวะ เอาตำแหน่งนายกฯ ในอนาคตที่ไม่แน่นอนมา "ขายทิ้ง" ล่วงหน้าตามลีลานักเลงหุ้น ด้วยการประกาศ "เว้นวรรค" ไอ้พวก Pet Degree ตัวผู้-ตัวเมียทั้งหลาย เสียแรงที่เรียนกันจนความรู้ท่วมหัว แทนที่จะนึกเฉลียวใจ กลับแอบฝันจะได้เป็นนายกฯ แทนกันยกใหญ่
ผมขอบอกชัดๆ อีกทีว่า ในเดือนหน้าเป็นต้นไป จะไม่ใช่ "เว้นวรรคเฉพาะนายกฯ ทักษิณ"
แต่จะเป็นการเว้นวรรค "รัฐบาลไทยรักไทย"!
เพราะอะไรน่ะหรือครับ..ก็เพราะ..
ประเทศไทยจะ "ปฏิรูปการเมือง" ครั้งใหม่ แล้วจะปล่อยให้รัฐบาลที่เรียกว่าประชาธิปไตย "เผด็จการรัฐสภาเต็มรูปแบบ" นอนขวางรางหญ้าประชาธิปไตยอย่างนั้นหรือ?
คิดดู ด้วยระบอบทักษิณ จัดให้มีการเลือกตั้งแล้ว ไทยรักไทยพรรคเดียวได้ ส.ส.ระบบเขต ๓๙๙ คนในจำนวนเต็ม ๔๐๐ คน และได้ ส.ส.ระบบปาร์ตี้ลิสต์ ๑๐๐ คนเต็ม
รวมเป็นรัฐสภาไทยรักไทย ๔๙๙ มีฝ่ายค้านเกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุ ๑ คน เมื่อเป็นอย่างนี้ ด้วยอำนาจบริหาร ด้วยอำนาจนิติบัญญัติอันกฎหมายรับรอง เท่ากับว่า
"ประเทศไทยตกอยู่ในกำมือระบอบทักษิณ" เบ็ดเสร็จ!
อยากได้อะไร อยากให้ประเทศไทยเป็นแบบไหน ก็เขียนกฎหมายเอาตามใจชอบ
กฎหมายไหนขวางประโยชน์ที่ตัวเองอยากได้ ก็แก้ได้ตามใจ กระทั่งจะขายบ้าน-ขายเมืองก็ได้ ร่างเป็นกฎหมายแล้วส่งเข้าสภาไทยรักไทย
๔๙๙ เสียงพรึ่บเดียวเอา ๓ วาระเลยก็ยังไหว!
นี่คือมหิทธานุภาพ "ครองบ้าน-ครองเมือง" ตามวิถีทางอำนาจสภา-อำนาจรัฐบาล "อำนาจเดียวกัน" ภายใต้ระบอบทักษิณ โดยไม่จำเป็นต้องให้คนชื่อ "ทักษิณ" มานั่งหน้าแป้น
แต่ไม่ต้องตกใจไปหรอกครับ ถึงอย่างไร "องค์พระสยามเทวาธิราช" ท่านไม่ทรงยอมให้เปิดรัฐสภาได้ภายใน ๑ เดือนด้วยผลจากการเลือกตั้ง ๒ เมษา.นั้นแน่นอน
ถ้า "ศาลรัฐธรรมนูญ" ต้องการพิสูจน์ตรงนี้ ก็คอยดูกัน ไม่ยาก!
ฉะนั้น "การปฏิรูปการเมือง" ครั้งใหม่ ด้วยบทเรียนจากความบกพร่อง-ผิดพลาดในการปฏิบัติจริงดังที่เห็นแล้ว จะนำไปสู่การแก้ไขที่สมบูรณ์พร้อมอันยอมรับได้ทุกฝ่ายนั้น
การปฏิรูปนั้น ควรต้องปลอด "รัฐสภา-รัฐบาล" จากอำนาจชักใยในระบอบทักษิณ
หรือใครว่าไม่ควรเป็นเช่นนี้?
การเมืองภาคประชาชนต้องเข้มแข็ง ต้องเสียสละ ต้องมีสาระจริงจัง อย่าเห็นการชุมนุมเป็นแค่เรื่องสนุก เป็นแฟชั่น ไปร่วมในลักษณะไปเปลี่ยนบรรยากาศ แล้วก็ถ่ายรูป ซื้อของที่ระลึก อะไรทำนองนั้น
"พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" จะต้องเป็นแกนองค์กรภาคประชาชนที่มี "คณะทำงาน" แยกเป็นแขนง เพื่อรวบรวมความเลวร้ายอันหลากหลาย นำมาจัดเป็นหมวดหมู่ว่า
รูปธรรม "ระบอบทักษิณ" ที่กัดกินโครงสร้างสังคมชาติ คืออะไรบ้าง ทั้งฝ่ายสังคม และฝ่ายกฎหมาย เมื่อวินิจฉัย-แยกแยะแล้ว อะไรที่สังคมต้องสะสาง อะไรที่เข้าข่ายกฎหมายสะสาง ก็ต้องนำเข้าสู่กระบวนการตามแต่ละช่องของเรื่องนั้นๆ ทันที
การฟื้นฟูสังคมประชาธิปไตยคุณธรรม จะทำกันแบบ "ดายหญ้าหน้าดิน" ผมบอกได้เลยว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ทั้งหมดที่พลังประชาชนทุ่มเทกันลงไปวันนี้
"จะสูญเปล่า" อย่างน่าเสียดาย!
ต้อง "ขุดราก-ถอนโคน" มีแต่อย่างนี้เท่านั้น "เชื้อชั่ว" ในระบอบทักษิณจึงจะสูญพันธุ์
ผมบอกแล้ว สังคมไทยเข้าสู่โซนของการ "เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่" และนี่ยังไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง มันเป็นเพียงสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ที่จะค่อยๆ ตามมาเป็นลำดับๆ เท่านั้น
ชีวิตเรา-อาจเป็นของเรา
แต่ประเทศชาติ เป็นของเราทุกคน และของลูกหลานเราทุกคน ฉะนั้น อย่านิ่งดูดาย อย่านึกว่าธุระไม่ใช่ สังคมไทยสอนให้เรา รักตัวเอง รักพ่อ-รักแม่ มานานแล้ว
ถึงเวลาที่ต้องสอนให้ รักชาติ รักประเทศ รักพวกเราทุกคนบนผืนแผ่นดินไทยเดียวกัน
ไม่มีใครเป็นศัตรูเรา ถ้าคนนั้น ไม่เป็นศัตรูชาติของเรา และไม่โกงกิน-กอบโกยเอาจากชาติของเราอย่างไร้จริยธรรมสำนึก
ทุกวันนี้ เราอ้างกันแต่เศรษฐกิจ คำหนึ่งก็ว่าเศรษฐกิจจะตก คำหนึ่งก็ว่าเดี๋ยวต่างชาติจะไม่มาลงทุน
ขอถามหน่อยซิว่า จะให้ประชาชนส่วนใหญ่นิ่ง เพื่อยอมให้พวกสังคมทุนไร้จริยธรรมมันกอบโกยเอาไปแบ่งกันรวยในไม่กี่ตระกูลแล้วอ้างว่า
"อย่างนี้ทำให้เศรษฐกิจชาติดี จีดีพีเติบโตงั้นแค่นั้นหรือ"?
จีดีพีของคน ๒๐ ล้านมันโต แค่ประชาชนอีก ๔๐ กว่าล้านหัวโต นี่คือความจริงอันขมขื่นที่ "คนส่วนใหญ่ของประเทศ" ต้องมีส่วนรับผิดชอบในคำที่ตัวเองไม่มีผลได้ใดๆ เลย เดี๋ยวเศรษฐกิจชาติจะพัง
เดี๋ยวจีดีพีจะไม่โต
นี่มันคือเงื่อนไข "สังคมทุน" เพื่อการครอบครองในระบบจักรวรรดินิยมทุนที่กำลังฟื้นกลับมาอีกครั้ง เราจะเห็นว่า ในขณะที่สังคมทุนโต แต่สังคมชาติจะค่อยๆ สูญเสียความเข้มแข็ง สูญเสียเอกลักษณ์ สูญเสียความสุขที่พอเพียง จากสังคมชีวิตที่เคยพอ เมื่อสังคมทุนครอบงำ จะเร่าร้อนตลอดว่าชีวิตไม่เคยพอ ชีวิตมีแต่ขาดที่ต้องดิ้นรน ขวนขวายหาสิ่งนั้น-สิ่งนี้มาเติม มันเป็นชีวิตที่..ชีวิตนี้ มีแต่พร่องตลอดกาล!
ผมฟังระดับรัฐมนตรีตะโกนผ่านไมค์นักข่าวที่จ่อปากว่า "ภาคภูมิใจมากที่ประเทศไทยผลิตรถยนต์เป็นสินค้าส่งออกได้สูงเป็นประวัติการณ์"
ผมฟังแล้ว..ถุ้ย!
แค่ต่างชาติมันย้ายฐานผลิตมาอาศัยสิทธิประโยชน์ของประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างไทยเป็น "สถานที่ประกอบชิ้นส่วน" ขึ้นเป็นคันรถไปขาย แล้วระดับบริหารประเทศบอกว่า "ภาคภูมิใจ" กับความเป็นไอ้งั่งที่อ้างเป็นอุตสาหกรรมไทย
มันน่าถีบมั้ย?
กับพืชผลทางการเกษตรของไทยเราร้อยแปด อันมีวัตถุดิบเป็นต้นทุนไทย ๑๐๐% เป็นเศรษฐกิจที่ถึงมือ ถึงปาก ถึงท้อง ถึงกระเป๋าพี่น้องร่วมชาติของเราตั้ง ๔๐-๕๐ ล้านคนเต็มเม็ด-เต็มหน่วย
มันไม่เคยขวนขวาย ไม่เคยคิดค้น-พัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อขยายการค้า-การขายออกไปเลย
ชาตินี้มีมั้ยที่จะได้ยินรัฐมนตรีซักคน ยืนพูดใส่ไมค์นักข่าวว่า "ภาคภูมิใจที่ประเทศไทยส่งสินค้าเกษตรไปขายในตลาดโลกได้เป็นอันดับหนึ่ง"?
หรือสู้ร่วมหัวกับต่างชาติผลิตอะไหล่รถยนต์เทียมส่งไปขาย รวยง่าย รวยสบายเฉพาะตัวกว่ากันเยอะเลย?
ต้องจำกันไว้ คนเลี้ยงสัตว์ เขาขุนสัตว์ให้อ้วน ก็เพื่อจะเอาประโยชน์จากเนื้อที่อ้วนท้วนนั้น
"ระบบทุน" ที่แสวงหากำไรข้ามชาติทุกวันนี้ก็ทำนองนั้น ในสายตาแบงก์โลก ก็ดี ไอเอ็มเอฟ ก็ดี กองทุนระหว่างประเทศ ก็ดี เราเหมือนสัตว์หน้าโง่ แล้วเขากำหนดกรอบเศรษฐกิจให้เดินไปตามตารางที่เขาวางไว้ ทั้งเวลาให้อาหาร ทั้งเวลาโตได้ที่
เพราะนี่คือระบบเศรษฐกิจ "หมูขุน" จากทุนข้ามชาติ
ฉะนั้น อย่าไปสั่นหวั่นไหวกับคำว่าเศรษฐกิจจะตก เศรษฐกิจมันเหมือนใบไม้ ถ้าต้นไม่ตาย-ใบใหม่ก็งอก "โครงสร้างสังคมชาติ" คือต้นราก เราต้องรักษาให้แข็งแกร่งด้วยเอกลักษณ์ไว้ แล้วใบสมบูรณ์มันพูนเพิ่มเอง ระบอบทักษิณ มันจะทำให้ประเทศไทยเป็น "หมูขุน" แล้วชนชั้น "ระบบทุน" มันคอยเชือด!