ครป.จี้ กกต.สอบ 111 อดีต ทรท.ที่เคลื่อนไหวทางการเมือง

นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย (ทรท.) 111 คน ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองว่า อยากให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบกรณีที่อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 คน ที่ยังเคลื่อนไหวทางการเมือง โดย กกต.ควรให้ความชัดเจนถึงความหมายของ การถูกตัดสิทธิทางการเมืองว่า ครอบคลุมถึงการห้ามทำกิจกรรมทางการเมืองทุกชนิดหรือไม่ เพราะหากเทียบเคียงกับกรณี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หัวหน้าพรรคมหาชน ที่เคยถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ไม่ยุ่งเกี่ยว และทำกิจกรรมทางการเมืองจนครบ 5 ปี  เลขาธิการ ครป. กล่าวต่อว่า แต่กรณีของ 111 อดีต กก.บริหารพรรคไทยรักไทยนั้น คงคิดว่าจะได้รับการนิรโทษกรรม และคิดว่าการกดดันจะได้รับการตอบสนอง ผมว่าคิดผิด เพราะยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งให้คนไม่เห็นใจ เพราะท่านไม่เคยสำนึกผิดเลย จึงขอให้ท่านทบทวนว่า เหมาะสมหรือไม่ที่แสดงบทบาททางการเมืองเช่นนี้ มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองตลอดเวลา ทั้งการให้ข่าวว่าจะตั้งพรรค และการเป็นคณะทำงานของพรรคการเมือง จึงคิดว่ากรณีนี้เข้าข่ายขัดต่อกฎหมายเลือกตั้ง และขอให้ กกต.ใช้ดุลยพินิจพิจารณาว่า พฤติกรรมของอดีตกก.บริหารฯ ทรท.เข้าข่ายละเมิดกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานของการตัดสิทธิทางการเมือง  นายสุริยะใส กล่าวถึงกระแสข่าวที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) จะลงเล่นการเมือง ว่า แม้เป็นสิทธิเสรีภาพของ พล.อ.สนธิ แต่ไม่เหมาะสม และขาดความชอบธรรม เพราะจะทำให้ถูกตีความว่า เป็นยุทธศาสตร์ของการสืบทอดอำนาจแบบใหม่ ทั้งนี้ หากประธาน คมช.จะลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือตั้งพรรคการเมืองในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ จะทำให้การเลือกตั้งถูกสังคมเคลือบแคลงสงสัยว่า กองทัพใช้กลไกอำนาจ ทรัพยากรของกองทัพ และฝ่ายความมั่นคง ไปเอื้อประโยชน์ให้การเมือง เลขาธิการ ครป. กล่าวด้วยว่า ตำแหน่ง ผบ.ทบ. ถือเป็นข้าราชการระดับสูง และให้คุณให้โทษทางการเมืองได้ตลอดเวลา ฉะนั้น หลังพ้นจากตำแหน่ง ผบ.ทบ. แม้ยังไม่มีข้อห้ามทางกฎหมาย แต่เพื่อสร้างบรรทัดฐานอันดีงามให้กับผู้นำเหล่าทัพในอนาคต ควรถือบรรทัดฐานเดียวกับข้าราชการระดับสูง ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ห้ามไปดำรงตำแหน่งในบริษัทเอกชน หลังเกษียณอายุไม่เกิน 2 ปี ดังนั้นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ควรเป็นการเลือกตั้งครั้งถัดไป เพื่อเป็นแบบอย่างและเป็นบรรทัดฐานให้กับผู้นำเหล่าทัพในอนาคต และจะเป็นการสร้างเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของกองทัพไทย ให้เป็นที่เชื่อถือ และเป็นกองทัพของประชาชน ตามที่ประธาน คมช.เคยแสดงความมุ่งมั่นไว้