ทรท.ถล่มหัวหน้าปชป.หนีทหาร อภิสิทธิ์ไม่สนเดินสายเมืองนอก
8 กรกฎาคม 2550 13:08 น. |
แกนนำกลุ่มไทยรักไทย ซัดแกนนำประชาธิปัตย์ กรณีที่ดิน สปก. 4-01 จ.ภูเก็ต หลังศาลฎีกาตัดสินสามี “อัญชลี วานิชเทพบุตร” ครอบครองที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย จี้ “ชวน” รับผิดชอบคำพูด หัวหน้าปชป.ไม่สนเดินสายโรดโชว์สร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติ นายกมล บันไดเพชร แกนนำกลุ่มไทยรักไทย แถลงว่า ขณะนี้ศาลฎีกามีคำตัดสินถึงการครอบครองที่ดิน สปก. 4-01 ที่ จ.ภูเก็ต ของสามีนางอัญชลี วานิชเทพบุตร อดีต ส.ส.ภูเก็ต พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ขณะที่นางอัญชลี ดำรงตำแหน่งเลขานุการของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เคยให้สัมภาษณ์ โดยระบุว่า การได้รับเอกสารสิทธิ์ที่ดิน สปก. เหมือนกับการสอบแข่งขัน อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลฎีกามีคำตัดสินว่าผิดกฎหมาย เพราะไม่ได้เป็นเกษตรกร จึงอยากสอบถามความรับผิดชอบจากนายชวน หลีกภัย ที่พยายามออกมาปกป้องเรื่องดังกล่าว นายกมล กล่าวด้วยว่า กรณีการครอบครองที่ดิน จ.ภูเก็ต ของคนสำคัญในพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ต่างจากการบุกรุกที่ดินเขายายเที่ยง ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และเห็นว่ามีการเลือกปฏิบัติ เพราะขณะนี้มีประชาชนหลายรายบริเวณที่ดินดังกล่าวถูกดำเนินคดี บางรายที่ดินห่างจากที่ดินของนายกรัฐมนตรี เพียง 500 เมตร เห็นได้ชัดว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปจะไม่ร้องเรียนฝ่ายใดอีกแล้ว เพราะขณะนี้กระบวนการยุติธรรมต่าง ๆ ที่เคยร้องเรียนให้ตรวจสอบก็ปฏิเสธที่จะดำเนินการ รวมไปถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่อ้างว่า นายกรัฐมนตรีพ้นจากราชการไปแล้ว 2 ปี ทั้งที่ความผิดยังมีต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ตนยืนยันว่า ทันทีที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง จะแจ้งความดำเนินคดีทันที “เรื่องนี้ไม่ใช่ท่านนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่ทำผิด ท่านผู้หญิง พ.อ.หญิง จิตรวดี ภริยานายกรัฐมนตรี ก็ร่วมทำผิดด้วย ผมมองเรื่องนี้ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ ท่านอ้างว่าซื้อต่อมาจากคนอื่น แต่ปัจจุบันประชาชนที่ซื้อต่อจากคนอื่นเช่นกัน กลับถูกดำเนินคดีตัดสินจำคุก 10 ปี ไม่รอลงอาญา ผมขอพูดเลยว่า ทันทีที่ท่านนายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ผมจะแจ้งความดำเนินคดี เพราะขณะนี้แจ้งไปก็ไม่เกิดประโยชน์” นายกมล กล่าว นายกมล กล่าวด้วยว่า นอกจากคดีบุกรุกที่ดินแล้ว ตนจะแจ้งความดำเนินคดี พล.อ.สุรยุทธ์ ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ด้วย เพราะมีหลักฐานชัดเจน เป็นเอกสารการสอบสวนของกระทรวงกลาโหม ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้เข้ารับการตรวจเลือกเพื่อเป็นทหารกองประจำการ แต่กลับไม่มีการดำเนินการใด ๆ กับนายอภิสิทธิ์ มีเพียงการเอาผิดกับข้าราชการ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นสมัยที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก “เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ต้องหาความชัดเจน เพราะคุณอภิสิทธิ์ เป็นพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถนัดประดิษฐ์ถ้อยคำ คุณอภิสิทธิ์ ไม่เคยตอบว่า ไม่ได้รับการเข้าตรวจเลือกหรือเกณฑ์ทหารจริงหรือไม่ แต่กลับเลี่ยงไปว่าไปสมัครเป็นทหาร ซึ่งก็มีความผิด เพราะการสมัครเป็นทหาร ผมทราบมาว่าต้องใช้หลักฐานใบ สด.43 แต่เมื่อคุณอภิสิทธิ์ไม่ได้ผ่านการเกณฑ์ทหาร ย่อมไม่มีใบ สด.43 จึงเห็นได้ชัดว่า มีการช่วยเหลือให้ได้เข้ารับราชการโดยไม่ถูกต้อง เรื่องนี้ต้องถามคุณอภิสิทธิ์ คนที่พรรคประชาธิปัตย์จะชูให้เป็นผู้นำ ว่ากรณีประกาศว่าผู้นำจะทุจริตเพียงเล็กน้อยไม่ได้ แล้วกรณีที่เกิดขึ้นจะถือเป็นการทุจริตหรือไม่” นายกมล กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแถลงข่าว นายกมลได้นำหลักฐานบัญชีรายชื่อทหารกองเกินที่เรียกมาตรวจเลือกเข้ากองประจำการ เขตพระโขนง ซึ่งมีชื่อนายอภิสิทธิ์ ถูกระบุว่า “ไม่เข้ารับการตรวจเลือก” มาแจกต่อสื่อมวลชนด้วย “อภิสิทธิ์”เดินสายโรดโชว์ต่างชาติ นายศิริโชค โสภา กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังร่วมคณะเดินทางไปกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมงาน Money Conference 2007 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 ก.ค. 2550 ซึ่งสนับสนุนโดยธนาคาร HSBC ว่า นายอภิสิทธิ์และคณะ ประกอบด้วยนายกรณ์ จาติกวนิช รองเลขาธิการพรรค นายกษิต ภิรมย์ ที่ปรึกษาพรรค และตน ได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อพบปะกับบริษัทและนักลงทุนชั้นนำ โดยนายอภิสิทธิ์ได้กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา EURO Money Conference 2007 ซึ่งเป็นการประชุมด้านการเงินระหว่างประเทศที่ใหญ่อันดับต้นๆของโลก ทั้งนี้ทางธนาคาร HSBC ได้จัดให้นายอภิสิทธิ์และคณะเข้าพบปะกับนักลงทุนระดับใหญ่ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับประเทศไทย อาทิ ธนาคาร ABN-AMRO บริษัท Merrill Lynch บริษัท CLSA บริษัท JP Morgan บริษัท Legg Mason รวมถึงหนังสือพิมพ์ International Herald Tribune หนังสือพิมพ์ The Standard และหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal ด้วย นายศิริโชค กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นที่นักลงทุนชาวต่างชาติได้แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทยได้ดังนี้ คือ 1.นักลงทุนต่างชาติต้องการเห็นความแน่นอนในกระบวนการฟื้นฟูประชาธิปไตยและการจัดการเลือกตั้ง โดยนายอภิสิทธิ์ได้เล่าถึงกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ และการทำประชามติให้นักลงทุนต่างชาติเข้าใจ รวมถึงชี้แจงให้นักลงทุนต่างชาติคลายความวิตกในเรื่องของวันเลือกตั้ง เพราะไม่ใช่เฉพาะคนต่างชาติเท่านั้นที่อยากเห็นการเลือกตั้ง แม้กระทั่งคนไทยเอง ก็อยากให้มีการเลือกตั้งเร็วที่สุด เพราะประเทศไทยจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ ก็ต่อเมื่อมีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น 2.การแก้ไขกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวและมาตรการควบคุมเงินตรา (Capital Controls) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ยังคงมีผลทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความมั่นใจในประเทศไทย ซึ่งนายอภิสิทธิ์ให้ความเห็นโดยสรุปว่า พรรคการเมืองทั้งหลายต่างเข้าใจประเด็นนี้เป็นอย่างดี ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์มีความตั้งใจที่จะยกเลิกหรือผ่อนคลายมาตรการควบคุมเงินตรา และหันมาใช้นโยบายทางการเงินและการคลังที่เข้มข้นเช่น การลดอัตราดอกเบี้ย และการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายเงินของภาครัฐ ซึ่งมีความจำเป็นในการลงทุนในอนาคตของประเทศเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เช่น ในระบบการศึกษาให้มีการเรียนฟรีจริงจนจบมัธยม การลงทุนในเครือข่ายการขนส่งเพื่อลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ตาม “วาระประชาชน” ที่ได้นำเสนอไปแล้ว และเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ทางการเงินปัจจุบัน ประเทศไทยยังสามารถทำงบประมาณขาดดุลได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต่ำกว่าสองถึงสามปี สำหรับประเด็นการแก้ไขกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวนั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของสถาบันนิติบัญญัติแห่งชาติ พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ปิดกั้น แต่จะส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างโอกาสให้คนไทย 3.นายอภิสิทธิ์ได้ทำความเข้าใจกับนักลงทุนในเรื่องความไม่สงบในภาคใต้ โดยเชื่อว่าทิศทางนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันนั้นถูกต้อง แต่ยังขาดความเป็นเอกภาพในการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน นอกจากนี้ยังมีความล่าช้าในการออกกฎหมายการจัดตั้ง ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) ทำให้ไม่มีผู้รับผิดชอบที่แท้จริง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ ให้มาประจำที่ภาคใต้เพื่อร่วมแก้ไขและสร้างความเป็นเอกภาพกับข้าราชการและประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งการมีแผนงานที่ครบวงจรเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษาในพื้นที่และทำให้ประชาชนในพื้นที่ทุกกลุ่มได้รับความเป็นธรรม 4.นายอภิสิทธิ์ ได้อธิบาย “วาระประชาชน” ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของประชาชนในชนบท ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการปลูกพืชเพื่อผลิตพลังงานทดแทน การพัฒนาระบบชลประทาน การมีกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะทำให้ประชาชนในชนบทมีความเข้มแข็งและได้ประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์และคณะยังได้มีโอกาสพบปะกับภาคเอกชนที่ต้องการมาลงทุนในประเทศไทย ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ได้พยายามสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติ และยังเชื้อเชิญให้มาลงทุนในประเทศไทยโดยได้พูดถึงโอกาสการลงทุนในหลายสาขา เช่น การแปรรูปผลิตผลการเกษตร ภาคบริการ โดยนักลงทุนต่างชาติมีความสนใจเป็นอย่างมาก อาทิเช่น โครงการสวนสนุกระดับโลก ซึ่งใช้เงินลงทุนเป็นหมื่นล้านบาท โดยใช้เนื้อที่ประมาณ 400 ไร่ บริเวณกรุงเทพหรือปริมณฑล เป็นต้น นายอภิสิทธิ์เชื่อว่าถ้านักลงทุนต่างชาติมั่นใจ และลงทุนในโครงการใหญ่ๆเช่นนี้ ก็จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อประเทศ อีกทั้งยังสร้างงาน และเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม |