สุรยุทธ์ รับรองความปลอดภัย เปิดช่องแม้วกลับประเทศ ปัดไม่ได้ทำฝนเทียมไล่ม๊อบ

ด้าน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเปิดบ้านพิษณุโลก ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ว่า ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะหยิบยกรัฐธรรมนูญฉบับใดมาปรับปรุงแก้ไขและบังคับใช้ หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ผ่านการลงประชามติจากประชาชน โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่ดำเนินการข้ามขั้นตอน เนื่องจากต้องรอดูว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะผ่านประชามติหรือไม่ จึงค่อยตัดสินใจในขั้นนั้น

ส่วนการกำหนดวันเลือกตั้งนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่เคยหารือกับทุกฝ่าย ทั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาร่างรัฐธรรมนูญ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เห็นว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมมากที่สุดคือวันที่ 16 หรือ 23 ธันวาคม แต่หากจะเลื่อนเข้ามาให้เร็วที่สุดน่าจะทำได้คือวันที่ 25 พฤศจิกายน

พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การเลือกตั้งอาจล่าช้าออกไปจากที่กำหนดคือ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ผ่านประชามติ เพราะถ้าเกิดกรณีนี้ขึ้นก็จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องหยิบยกรัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งขึ้นมาปรับปรุงแก้ไข ซึ่งจุดนี้ต้องใช้เวลา ในขณะที่การยกร่างกฎหมายลูกนั้น เชื่อว่าจะดำเนินการได้ทันและไม่ใช่ปัจจัยที่จะมีผลกระทบให้วันเลือกตั้งต้องล่าช้าออกไป และเชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นการปรับปรุงแก้ไขให้มีความสอดคล้องกับสภาวะของประเทศในปัจจุบันมากที่สุด และรัฐบาลจะรักษาคำพูดด้วยการจัดการเลือกตั้งให้ได้ภายในปีนี้

พล.อ.สุรยุทธ์ ย้ำว่า ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับเข้ามาสู้คดีในประเทศ พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลจะให้การดูแลด้านความปลอดภัยแก่ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวอย่างเต็มที่

นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลและ คมช.ไม่เคยตั้งธงว่าจะต้องดำเนินการเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องโทษจำคุก และเห็นว่าเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้นว่ารัฐบาลตั้งธงที่จะดำเนินการดังกล่าว ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลไม่มีอำนาจหน้าที่ในส่วนนี้

"คงเป็นแค่ข่าวลือ ลำบากที่จะไปห้าม คนมักพูดว่ามีธงแบบนี้ซึ่งก็เป็นแค่การพูดคุย การดำเนินการเป็นเรื่องของรูปคดี การสอบสวนและพยานหลักฐาน ถ้า (พ.ต.ท.ทักษิณ) มาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมก็จะเป็นประโยชน์" นายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ.สุรยุทธ์ ยังกล่าวด้วยว่า การชุมนุมของกลุ่มบุคคลใดหากเป็นไปด้วยความสงบสามารถทำได้โดยไม่ต้องไปสกัดกั้น แต่ก็มีพื้นที่บางส่วนที่เป็นเขตหวงห้ามก็ขอไม่ให้ใช้พื้นที่นั้น เช่น ลานพระราชวังดุสิต และหน้าบ้านของประธานองคมนตรี เป็นต้น พร้อมยืนยันไม่ได้ทำฝนเทียมเพื่อไล่กลุ่มผู้ชุมนุม หากทำได้จะเป็นประโยชน์ในการขายแนวคิดให้ต่างประเทศได้มาก ซึ่งการทำฝนเทียมเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรเท่านั้น ทั้งนี้ ต้องทำความเข้าใจในสังคมว่าจะแก้ไขปัญหาทางการเมืองอย่างไรต้องมองในอนาคตมากกว่าการมองเฉพาะปัจจุบัน

ส่วนกรณีผู้ชุมนุมเรียกร้องให้ พล.อ.เปรมลาออกจากตำแหน่ง ระบุว่าเกี่ยวพันกับการยึดอำนาจ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ในฐานะอดีตองคมนตรี เรื่องหนึ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง คือไม่ยุ่งเกี่ยวในเรื่องทางการเมือง ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่หลักและหน้าที่ขององคมนตรีเป็นการถวายคำปรึกษาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อได้รับมอบให้ไปศึกษาในเรื่องใด จะทำหน้าที่ถวายคำปรึกษาขึ้นไป เมื่อถวายคำปรึกษาขึ้นไปแล้ว ไม่ต้องไปติดตามผล เพราะจะเป็นพระบรมราชวินิจฉัย เป็นเรื่องของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

"ผมเคยเป็นองคมนตรีเพียงไม่กี่ปี แต่ประธานองคมนตรีเป็นมานานแล้ว และมีความเกี่ยวพัน มีความรับผิดชอบ ในฐานะที่เป็นประธาน ท่านก็ได้เตือนพวกผมอยู่เสมอว่า จะต้องระวังในเรื่องของการให้ข้อคิดเห็นต่างๆ อาจจะกระทบต่อบุคคลอื่นอย่างไร ต้องระมัดระวัง นั่นก็เป็นส่วนที่ถือได้ว่า ผมให้ความมั่นใจได้ว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องที่มากล่าวอ้างกัน" นายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ.สุรยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการรณรงค์ให้ประชาชนมาลงประชามติ ในขณะที่กระบวนการดาวกระจายรณรงค์ให้ประชาชนคว่ำร่างรัฐธรรมนูญว่า รัฐบาลคงไม่มีนโยบายอะไรในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายต้องช่วยกันทำ ทั้งในส่วนของสภาร่างรัฐธรรนูญและ กกต. เพื่อชี้แจงเพราะอาจจะมีประชาชนบางส่วนไม่เข้าใจต่อร่างรัฐธรรมนูญที่ได้ผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญไปแล้ว ซึ่งขั้นตอนของการทำความเข้าใจอาจไม่มีปัญหา ซึ่งบางส่วนไม่เห็นด้วยก็เป็นเรื่องธรรมดา

ต่อข้อถามที่ว่าห่วงหรือไม่ว่าประชาชนอาจจะเบื่อหน่ายและไม่ไปลงประชามติ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าประชาชนเข้าใจและจากการลงพื้นที่ในหลายจังหวัด คิดว่าประชาชนเข้าใจว่าทุกคนควรจะไปใช้สิทธิและส่วนใหญ่ก็อยากเห็นการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้