ผมเคยไปฟังคำพิพากษามาแล้วแทบทุกศาล เริ่มตั้งแต่ศาลแพ่ง ศาลอาญา (ทั้งศาลอาญาเดิมที่สนามหลวง ศาลอาญารัชดา และศาลอาญากรุงเทพใต้) ศาลปกครอง ศาลแรงงาน ศาลเยาวชนและครอบครัว จนถึงศาลรัฐธรรมนูญ ทุกครั้งผมเป็นจำเลย ไม่เคยเป็นโจทย์แม้แต่ครั้งเดียว
บางคดีก็ชนะ บางคดีก็แพ้ มีทั้งโทษเบาอย่างรอการกำหนดโทษ รอลงอาญา ไปจนถึงโทษหนัก 20 ปี เป็นวิถีทางต่อสู้ทางกฎหมายที่อารยะประเทศใช้กัน
บางคดีอย่างคดีหมิ่นประมาท ทนายของผมไม่มา (ไม่รู้ไปไหน) ผมนั่งรออยู่ในห้องพิจารณาคดี จนต้องขออนุญาตท่านผู้พิพากษาซักค้านด้วยตัวเอง คดีนั้นผมชนะ (คดีที่ผมไปบุกบ่อนกิ่งเพชร และตำรวจมาไล่ผมกลับบ้าน แล้วยังมาฟ้องหมิ่นประมาทผมเสียด้วย ซวยจริงๆ)
กระบวนการยุติธรรมของศาลไทยมีความเมตตาสูง สำหรับผู้ที่ยอมรับ ทำให้เป็นประโยชน์ต่อกระบวนการพิจารณา ยังได้รับความปรานีลดโทษหรือรอลงอาญาแล้วแต่กรณี
หลายปีก่อนผมเคยนำข้าวมันไก่และโอเลี้ยงไปฝากให้ กกต. ที่อยู่ในเรือนจำใต้ถุนศาลอาญารัชดา ผมถูกศาลเรียกตัว เพราะ "ประพฤติตัวไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล" เมื่อขึ้นศาลผมยอมรับว่าทำตัวไม่ถูกต้อง ศาลได้เมตตาลงโทษผมเป็นการ "รอการกำหนดโทษ" กลายเป็นกรณีศึกษาของนักศึกษาทางกฎหมาย เพราะไม่ค่อยมีผู้คนได้ยิน
การรอการกำหนดโทษคือ ยังไม่มีโทษ หากทำซ้ำอีกจะถูกกำหนดโทษ ไม่ใช่การรอลงอาญา
จนถึงวันนี้ผมยังรอฟังคำพิพากษาศาลฎีกาที่อยู่ในซองรอเวลาเปิดอ่าน
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด