เสียงรำพึงที่ซ่อนเร้นของทักษิณ

เสียงรำพึงที่ซ่อนเร้นของทักษิณ

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 5 เมษายน 2549 00:23 น.

การแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจผ่านน้ำตาที่คลอเป้าของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อาจทำให้ประชาชนที่เฝ้าติดตามรู้สึกสงสารและเห็นใจต่อการเสียสละอันใหญ่หลวงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ประกาศไม่รับตำแหน่ง เพื่อให้เกิดความปรองดองขึ้นในบ้านเมือง

แต่กลับมีนัยที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้คำประกาศว่าจำต้องรักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 215 จนกว่ากระบวนการสรรหาในรัฐสภาจะเรียบร้อย

แม้การเลือกตั้งจะมีเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญ แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า กระบวนการสรรหาในรัฐสภาเพื่อให้มีจำนวนส.ส.ครบตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นได้เลย

ดังนั้นท่าทีที่ฟังดูเหมือนการประกาศถอยของพ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้ แต่ไม่ยอมลาออกและเว้นวรรคอย่างทันที คือ การประกาศยึดเก้าอี้รัฐมนตรีต่อไปอย่างไม่รู้กำหนด เพราะไม่รู้เลยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะจบลงเมื่อใด

การแสดงออกทางโทรทัศน์ผ่านรายการกรองสถานการณ์ เมื่อคืนวันอังคาร ต่อเนื่องมาจนถึงค่ำวันอังคาร จึงเหมือนแผนการตลาดใหม่ที่ถูกงัดมาใช้เพื่อรักษาตำแหน่ง

โดยคำรำพึงรำพันผ่านจอโทรทัศน์ในคืนนั้นได้สะท้อนความคิด ความรู้สึก และความต้องการของคุณทักษิณที่ชัดเจนสี่ประการ คือ

ประกาศที่หนึ่ง ทำให้คนไทยเข้าใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เสียสละอย่างใหญ่หลวง เพื่อรักษาความปรองดองในชาติบ้านเมืองเอาไว้

ประการที่สอง ต้องการให้คนไทยทั้งประเทศยอมรับและรับรองผลการเลือกตั้งตลอดจนกระบวนการเลือกตั้งที่ผ่านมาทั้งหมด โยนทิ้งบรรดาข้อกล่าวหาการเลือกตั้งไม่ชอบธรรมหรือฟอกโกง รวมทั้งกระบวนการโกงสารพัดในการเลือกตั้ง

ประการที่สาม ต้องการให้คนไทยทั้งประเทศยอมรับให้มีการเปิดสภาผู้แทนราษฎรได้ และเป็นสภาผู้แทนราษฎรที่มี ส.ส. พรรคไทยรักไทยเกือบ 500 คน และแม้ว่าจะไม่ครบจำนวนที่รัฐธรรมนูญกำหนดก็ต้องการให้มีการยอมรับให้มีการเปิดสภาได้ นั่นคือคนไทยจะต้องยอมรับความวิปริต วิปลาส พิกลพิการ และเป็นเผด็จการของสภาชุดนี้

ประการที่สี่ ต้องการให้คนใดคนหนึ่งของพรรคไทยรักไทยคือนายโภคิน พลกุล, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์, คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หรือ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี ภายใต้การกำกับของพ.ต.ท.ทักษิณ หลังกระบวนการสรรหาในรัฐสภาเรียบร้อย

รวมความก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการให้คนไทยเข้าใจผิดว่าการประกาศไม่รับตำแหน่งคือ การเสียสละอย่างใหญ่หลวง เพื่อให้คนไทยยอมรับในสิ่งที่ได้ทำมาทั้งหมด ตั้งแต่การยุบสภา การเลือกตั้ง การให้ ส.ส. พรรคไทยรักไทยซึ่งเกือบทั้งหมดอยู่ในโอวาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ และรักษาระบอบทักษิณให้ดำรงอยู่ต่อไป

น่าเสียดายที่คำประกาศของพ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อคืนวันอังคารไม่ใช่การลาออกจากทันทีทันใด

เพราะถ้าพ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศลาออกจะนำไปสู่การนำมาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญมาใช้บังคับ คือ การตั้งรักษาการนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจเรียกว่านายกรัฐมนตรีพระราชทานก็ได้

แต่การโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนั้นต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เวลานี้ไม่มีประธานรัฐสภา แต่ปรากฏว่าวุฒิสภาซึ่งได้หมดวาระไปแล้วนั้น รัฐธรรมนูญบัญญัติให้รักษาการต่อไปและรักษาการประธานวุฒิสภาก็ต้องทำหน้าที่รักษาการประธานรัฐสภาด้วยเพื่อปฏิบัติหน้าที่บางประการในขณะที่ไม่มีรัฐสภา

ดังนั้นก็ต้องอาศัยมาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญอีก นั่นคือรักษาการประธานวุฒิสภาจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการแต่งตั้งรักษาการนายกรัฐมนตรี

หรืออีกประการหนึ่งก็อาจอาศัยมาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญให้ประธานองคมนตรีซึ่งมีหน้าที่ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการบางประการเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการแต่งตั้งรักษาการนายกรัฐมนตรีได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นและรักษาการนายกรัฐมนตรีพระราชทานเป็นผู้ที่ยอมรับของทุกฝ่ายก็จะสามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตของชาติได้

ต้องทำอะไรกันต่อไป?

อย่างแรก ก็ต้องตั้งรักษาการรัฐมนตรีอื่น ๆ อันจะเป็นผลให้รักษาการรัฐมนตรีในรัฐบาลคุณทักษิณพ้นหน้าที่ไปตามรัฐธรรมนูญ บรรยากาศทมิฬที่ครอบงำประเทศก็จะสดใส สบายอกสบายใจของทุกคนมากขึ้น

อย่างที่สอง ยกเลิกการเลือกตั้ง 2 เมษา และอาศัยมาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญตราพระราชกำหนดแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยกเว้นการบังคับใช้บางมาตราที่เป็นอุปสรรคต่อวิถีทางประชาธิปไตย และทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญกำหนดการให้แล้วเสร็จภายในไม่เกิน 1 ปี โดยรัฐบาลรักษาการปฏิบัติหน้าที่ในห้วงเวลาดังกล่าว

ถ้าเป็นไปได้เช่นนี้วิกฤตของบ้านเมืองก็จะสงบยุติลง และความหวังที่บ้านเมืองจะสงบสุข ฟื้นฟูคุณธรรม จริยธรรม และการปกครองแบบธรรมาภิบาลก็จะมีทางเป็นไปได้.

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์