สนธิ ขอเวลาดูสถานการณ์

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ถึงการยกเลิกประกาศ คปค. ฉบับที่ 15 กับ 27 หลังตุลาการรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรคว่า ขณะนี้คงต้องมีการหารือกับรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง แต่ต้องขอรอดูสถานการณ์ ภายใน 1-2 สัปดาห์ ขณะนี้ก็มีเวลาอยู่แล้ว และต้องการให้พรรคการเมืองต่างๆสามารถขยับตัวได้

การตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญมีความรุนแรงเกินไป พล.อ.สนธิตอบว่า เรื่องดังกล่าวเป็นขั้นตอนทางกฎหมาย ก็ว่ากันไป เป็นขบวนการทางด้านยุติธรรมคิดว่าประชาชนคงจะเข้าใจ และทาง คมช.ก็จะทำความเข้าใจกับประชาชน

เมื่อถามว่า จะมีการพูดคุยกับแกนนำพรรคไทยรักไทยหรือไม่

โดยเฉพาะ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและ รมว.กลาโหม ที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมด พล.อ.สนธิตอบว่า ตนกับ พล.อ.ธรรมรักษ์ก็ไม่มีอะไรยังคุยกันอยู่ แต่ต้องทำความเข้าใจกับทุกกลุ่ม เมื่อถามว่า จะมีการจับตามองกลุ่มใดเป็นพิเศษบ้าง พล.อ.สนธิตอบว่า เรื่องนี้มีไม่กี่คนที่เป็นแกนนำ ดังนั้น เราต้องใช้วิธีการประสานงานกันจะดีกว่า

เมื่อถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่ารุนแรงเกินไป ประชาชนคงเห็นใจ กังวลหรือไม่ว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น พล.อ.สนธิตอบว่า ไม่แน่ใจว่าความรักที่ประชาชนมีให้เป็นอย่างไร แต่ว่าปัจจัยของความรักมีหลายอย่างเป็นองค์ประกอบ เช่น ความใจดี ความน่ารัก ความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เป็นต้น

เมื่อถามว่า มีความเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้หรือไม่

พล.อ.สนธิตอบว่า ไม่รู้สึกกังวล เพราะเชื่อว่าทุกคนปรารถนาดีต่อบ้านเมือง และนักการเมืองทุกคนคงจะเข้าใจ เปรียบกับการเล่นกีฬา เช่น การเตะฟุตบอล ถ้ายิงเข้าประตู และกรรมการเขาเห็นแล้วว่าเข้าประตูเขาก็ตัดสิน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 11.50 น.

วันเดียวกัน พล.อ.สนธิพร้อมด้วย พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม ได้เดินทางเข้าพบและหารือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่เก็บตัวเงียบอยู่ภายในบ้านพักภายในหมู่บ้านรอยัลกอล์ฟคลับ ลาดกระบัง โดยใช้เวลาหารือประมาณ 2 ชั่วโมง จึงกลับออกมาในเวลา 14.00 น. โดย พล.อ.สนธิปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ เพียงแต่โบกมือทักทายอยู่ในรถ พร้อมส่งรอยยิ้มให้กับผู้สื่อข่าวเท่านั้น

นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองภายหลังตุลาการรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคไทยรักไทยว่า แรกๆอาจมีคนรู้สึกเสียใจและทำใจไม่ได้ แต่ถือเป็นการอ่านคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญที่ยาวที่สุดของไทย และของโลก ที่รวมเอาหลักกฎหมายและเหตุผลต่างๆ และมีเสียงเป็นเอกฉันท์

ดังนั้น หวังว่าทุกฝ่ายจะน้อมรับคำวินิจฉัยโดยดุษฎี

ส่วนที่พรรคไทยรักไทยจะยื่นอุทธรณ์การตัดสิทธิการเมืองกรรมการบริหารพรรค 5 ปีนั้น จะไปยื่นต่อศาลไหน คำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญถือว่าสูงสุดแล้วในทางการเมือง แม้จะมีข้อโต้แย้งว่าไม่ใช่ศาล

แต่ตาม รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 49

ก็บัญญัติไว้ว่าให้เป็นไปตามประเพณีการปกครอง ในแง่กฎหมายคงดิ้นลำบาก คงต้องเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมาแทน สำหรับการยื่นขอจดทะเบียน โดยใช้ชื่อพรรคเดิมนั้นขึ้นอยู่กับประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองจะพิจารณาไปตามกฎหมาย ตอนนี้ถือว่าปัญหาทางกฎหมายจบแล้ว แต่ปัญหาทางการเมืองคงไม่ได้จบที่คำวินิจฉัยยุบพรรค

นายธีรภัทร์กล่าวว่า ส่วนข้อเรียกร้องให้ยกเลิกประกาศ คปค.ฉบับที่ 15 และ 27 นั้น ทางประธาน คมช. คงรับทราบปัญหานี้แล้ว เมื่อถึงเวลาเหมาะสมในไม่ช้านี้คงจะมีการแก้ไขปรับปรุง แต่คงไม่ถึงขนาดยกเลิก เพื่อเปิดโอกาสให้จัดตั้งพรรคการเมืองและดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ คงไม่ทอดยาวไปถึงใกล้เลือกตั้ง

เมื่อถามว่า อดีต ส.ส.และแกนนำพรรคไทยรักไทย

ตั้งกลุ่มไทยรักไทยขึ้นมาต่อสู้จะกระทบต่อการยกร่างรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งหรือไม่ นายธีรภัทร์ตอบว่า ก็คงจะมีผลกระทบอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักชี้ขาด คิดว่าผู้ถูกตัดสิทธิการเมืองคงไม่ไปปลุกระดมประชาชน เพราะทุกฝ่ายก็บอกว่า น้อมรับคำวินิจฉัย และกระแสพระราชดำรัส

อย่างไรก็ตาม

ฝ่ายความมั่นคงก็คงต้องคอยติดตามดูว่า การรวมตัวดังกล่าวจะทำกิจกรรมในลักษณะใด หากเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยนอกเวทีเลือกตั้งก็น่าส่งเสริม แต่หากไปกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ฝ่ายความมั่นคงก็ต้องจับตาความเคลื่อนไหว

สำหรับรัฐบาลเองยังเชื่อมั่นและมีหน้าที่สร้างให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า

เราจะเดินไปสู่การมีรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และจัดให้มีการเลือกตั้งในปลายปีนี้ เพื่อทำให้การเมืองลงตัว สำหรับการชุมนุมในวันที่ 31 พ.ค. เชื่อว่าไม่น่ามีเหตุรุนแรง ทาง คมช.และรัฐบาลเตรียมมาตรการรับมือไว้หมดแล้ว บรรยากาศการชุมนุมคงมีอยู่ 1-2 วัน ถ้าเราทำความเข้าใจกับประชาชนดีๆ ก็คงไม่เกิดอะไรขึ้น

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ