ระทึก7ชั่วโมง ปิดบางนา-ตราด ล้อม "คมชัดลึก"
เป็นเวลากว่าเจ็ดชั่วโมงเต็ม ที่พนักงานในเครือเดอะเนชั่น และบริษัทอื่นๆ ซึ่งตั้งอยู่ ในอาคารเนชั่นทาวเวอร์ ถูกผู้ชุมนุม ในนามของ คาราวานคนจน และ กลุ่มประชาชน ผู้จงรักภักดี นับพันปิดล้อมและต้องเผชิญกับ ภาวะกดดัน และการข่มขู่คุกคาม
นี่คือคำบอกเล่า ถึงประสบการณ์ในวันนั้นจากบางส่วนของผู้ซึ่งตกอยู่ในฐานะเป็น "ตัวประกัน"
"เดี๋ยวพวกกูจะข่มขืน เรียงคิวให้หมด"
นายชัยวัฒน์ สุวัฒนรัตน์ พนักงานคนหนึ่งของเนชั่น กล่าวว่า ช่วงเกิดเหตุพยายามปีนรั้วออกไปทางบ้านที่อยู่ด้านหลังตึกเนชั่นกับเพื่อนพนักงานอีก 3 คน ลุงเจ้าของบ้านนำบันไดมาให้ปีนลง เพื่อให้ออกไปทางประตูหน้าบ้าน แต่ระหว่างนั้นเห็นกลุ่มวัยรุ่นที่แยกมาจากม็อบที่กำลังปิดล้อมหน้าตึกเนชั่นถือไม้ยาวประมาณ 1 เมตรทั้งสองมือ เดินป้วนเปี้ยนอยู่หน้าบ้าน มีท่าทีคุกคาม จึงตัดสินใจไม่ออกจากบ้านของลุงคนนั้น
หลังจากนั้นได้โทรศัพท์ไปชวนเพื่อนที่ยังอยู่ในตึกให้ปีนออกมาทางด้านหลังตึกเนชั่น ช่วงนั้นมีพนักงานหญิงอายุประมาณ 20 ปีเศษ พยายามปีนลงมาที่บ้านของลุงคนดังกล่าว แต่กลุ่มวัยรุ่นที่ยืนมองอยู่เห็นเหตุการณ์พอดี ตะโกนขึ้นว่า ลงมาสิ ลงมา เดี๋ยวพวกกูจะข่มขืน เรียงคิวให้หมด ก่อนจะพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน และทำท่าจะวิ่งกรูเข้าไปหา น้องคนนั้นกลัว จึงไม่กล้าปีนลงมา ขณะที่กลุ่มวัยรุ่นยังคงยืนล้อมอยู่หน้าบ้านของลุงคนนั้น และใช้ไม้กวักเรียกคนที่พยายามจะปีนลงมา พร้อมทั้งขู่ว่า ถ้าลงมาจะตีให้ตาย
ไม่คลอดไม่ให้ออกโว้ย
ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจซึ่งกำลังตั้งครรภ์ เป็นผู้หนึ่งซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในวันนั้น
วันนั้นนั่งทำงานจนถึงประมาณ 4 โมงเย็น นึกได้ว่าแพทย์ที่ดูแลครรภ์นัดตรวจครรภ์ทุกๆ 2 เดือน เพราะท้องแก่ต้องดูแลใกล้ชิด จึงกระซิบบอกพี่หัวหน้าว่าต้องขอไปก่อน พี่เขาอนุญาตเพราะได้ยินว่าม็อบอยู่ด้านหน้ายืดเยื้อแน่ เพราะม็อบประกาศไม่ให้คนเนชั่น ออกจากบริษัท มีการตรวจบัตรด้วย ยิ่งเรามีนัดกับหมอ พี่เขาก็อยากปล่อยให้เราออกไปก่อน
ตอนแรกได้ยินจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะช่วยคุ้มกันคนท้องออกไป เรารีบลงไปกับน้องอีก 2 คน ที่อยากออกไปด้วย และลงไปเจอน้องผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ได้ 4 เดือนอยู่ในสภาพและความรู้สึกเดียวกัน ก็ชวนกันว่าจะขอออกไปจากสถานการณ์นี้ก่อน
แต่พอลงไปตำรวจกลับไม่รับประกันความปลอดภัยของเรา เช่นเดียวกับคนในกลุ่มม็อบที่ตะโกนใช้คำหยาบคายว่า คนท้องถ้าไม่ใกล้คลอด ถ้าจะออกไปก็ไม่รับประกันความปลอดภัย และ จะเอาหมอตำแยมั้ย รวมทั้ง ไม่คลอดไม่ให้ออกโว้ย ซึ่งฟังดูแล้วแสดงให้เห็นว่าเป็นม็อบอันธพาลที่มีแต่ความคิดและวาจาคอยรังแกคนอ่อนแอโดยเฉพาะเพศแม่
เย็นวันนั้นดิฉันแทนที่จะได้ออกตั้งแต่ 4 โมงเย็น กลับต้องนั่งรอด้วยความอึดอัดใจ ก็พยายามทน ไม่ให้ความรู้สึกไปกระทบเด็กในท้อง แต่บรรยากาศวันนั้นเป็นใครก็ต้องรู้สึกไม่ดีและแย่มาก และอยากถามว่า เมืองไทยไม่มีขื่อมีแปหรือ...
ท้อง 7 เดือนหาว่าเอาผ้ายัด
ผู้สื่อข่าวสาวจากหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ซึ่งตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน เล่าว่า เมื่อคืนวันที่ 29 มีนาคม ไม่ได้ติดตามข่าวสาร เลยไม่รู้ว่าเช้าวันรุ่งขึ้นจะมีม็อบมาประท้วงที่หน้าตึกเนชั่น พอถึงที่ทำงานก็แปลกใจที่เห็นคนจำนวนมากเดินสวนออกไปด้วยความเร่งรีบ แม่ค้าในตลาดนัดข้างตึกบอกให้รีบกลับบ้าน เดี๋ยวจะมีม็อบมาล้อมตึก ท้องอุ้ยอ้ายแบบนี้เดี๋ยวหนีไม่ทัน ก็ไม่ทันคิดว่าจะรุนแรงอะไร แต่ก็เข้าตึกไม่ได้แล้ว เพราะ รปภ.ปิดประตูอาคารไม่ให้คนเข้าออก หาทางขึ้นไปถึงที่ทำงานจนได้ สัก 10 โมงกว่าๆ เริ่มมีม็อบทยอยมา เนื่องจากโต๊ะทำงานอยู่ติดกับกระจกฝั่งถนนจึงเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวตลอดเวลา เห็นกลุ่มม็อบเริ่มเอารถบรรทุกจอดขวางถนน ก็รู้สึกไม่ดี เพราะท่าทางดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มองไปเห็นแต่กลุ่มชายฉกรรจ์ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือพร้อมจะบุกเข้ามาในเขตอาคาร ฝ่ายแกนนำม็อบก็ใช้ถ้อยคำร้อนแรงปลุกอารมณ์โกรธอยู่ตลอดเวลา
เวลานั้นไม่มีใครมีกะจิตกะใจทำงาน คอยติดตามสถานการณ์กันตลอด เวลาผ่านไปเพื่อนร่วมงานที่เพิ่งมาถึงแต่ละคนอยู่ในสภาพสะบักสะบอม เพื่อนหญิงบางคนต้องปีนกำแพงด้านข้างตึกเข้ามา เพราะประตูทุกด้านทั้งประตูเล็กประตูน้อยมีกลุ่มชายฉกรรจ์หน้าตาถมึงทึงมาพร้อมกับรถตู้หลายสิบคันปิดทางเข้า ปักหลักเฝ้าไม่ยอมให้คนเข้าออก บางคนต้องฝ่ารั้วลวดหนามด้านหลังตึกเพื่อเข้ามาทำงาน บางคนฝ่าเข้ามาไม่ได้ต้องล่าถอยกลับบ้าน
เวลาประมาณ 12.00 น. สถานการณ์ดูจะตึงเครียดขึ้น เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มมีอารมณ์ที่ข้อเรียกร้องยังไม่ได้รับการตอบสนอง พี่ๆ เลยให้น้องฝึกงานคนหนึ่ง เป็นน้องผู้หญิงกลับบ้าน เพราะคิดว่าเป็นนักศึกษา พวกผู้ชุมนุมคงจะไม่เอาเรื่องอะไร ปรากฏว่าน้องคนนั้นหน้าเสียกลับขึ้นมา เพราะถูกกลุ่มชายฉกรรจ์เฝ้าที่ประตูด้านข้างโห่ไล่ไม่ยอมให้ออก แถมพูดจาลวนลามบอกว่า ถ้าออกไปจะไม่รับรองความปลอดภัย เธอเลยต้องรีบเผ่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว จากนั้นมีคนแนะนำว่าทางด้านหลังตึกยังมีช่องออกแต่ต้องปีนกำแพงข้ามผ่านไปทางหมู่บ้านที่อยู่ด้านหลัง พี่ๆ เลยพาน้องไปส่ง ปรากฏว่ามีชายฉกรรจ์อีกหลายสิบคนไปเฝ้าอยู่ข้างในหมู่บ้าน เลยต้องอพยพกันกลับขึ้นมาอีกรอบ น้องคนนั้นพยายามหาทางออกถึง 4 รอบ ก็ยังออกไม่ได้
บรรดาพนักงานเริ่มจับกลุ่มคุยกันด้วยความรู้สึกโกรธ ทั้งผู้จัดชุมนุมและตำรวจที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ปล่อยให้คนพวกนี้ใช้อำนาจมืดอะไรก็ไม่ทราบมากักขังหน่วงเหนี่ยวพวกเรา ราวกับพวกเราเป็นตัวประกัน หลายคนโทรไปแจ้ง 191 รวมทั้งตัวดิฉันเองด้วย เพราะไม่รู้จะทำอะไรได้ดีกว่านั้น แต่ก็ไม่ได้รับความกระจ่างอะไร ตัวเองเริ่มกังวล เพราะยังมีลูกชายวัย 2 ขวบอยู่ที่บ้าน หากวันนี้ยังไม่ได้กลับบ้าน ลูกจะนอนยังไง เขาต้องร้องหาแม่แน่ๆ หวาดหวั่นไปสารพัดว่าที่บ้านจะเป็นยังไง
เวลาผ่านไป จนถึงช่วงเย็น ก็ยังไม่ได้ยินข่าวว่า มีใครออกจากตึก รู้แต่ว่า กำลังมีการเจรจากันอยู่ ประมาณ 4 โมงเย็นมีคนขึ้นมาบอกว่า ใครจะกลับบ้าน ให้ไปรอที่ชั้นล่าง จะมีตำรวจพาออก จึงรีบชวนเพื่อนลงไปรอที่บริเวณทางออกชั้น 2 พอลงไปถึงมีคนรอเป็นจำนวนมาก บางคนพยายามเข้าไปต่อรองกับกลุ่มแกนนำม็อบ ได้ยินเสียงแกนนำ พูดผ่านทางเครื่องขยายเสียง ยืนยันไม่ให้ใครออก บอกด้วยว่า ในเมื่อคนในรั้วเดียวกับท่าน สร้างความระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท พวกท่านก็ต้องร่วมกัน รับผิดชอบ วันนี้ไม่ต้องกลับบ้านอยู่มันในนั้นล่ะ
พูดจบก็มีเสียงปรบมือเกรียวกราวจากผู้ชุมนุม ก็ยิ่งเริ่มใจเสียคิดว่าวันนี้ไม่ได้กลับบ้านแน่ เดินวนไปเวียนมาพักใหญ่ จนตำรวจนายหนึ่งขึ้นมาสะกิดถามว่าจะออกไปหรือเปล่า แต่ออกได้คนเดียว พยายามต่อรองขอเอาเพื่อนไปด้วย แต่ตำรวจบอกว่าขอได้เฉพาะคนท้องแค่คนเดียว เลยต้องทิ้งเพื่อนไว้
พอตำรวจพาออกมาส่ง กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยืนหน้ากระดานเรียงหนึ่งอยู่หลังรั้วเหล็กก็ยอมเปิดทางให้โดยดี แต่พอเดินออกมาก็มีเสียงปรบมือผสมเป่าปากโห่ฮา ต้องรีบเดินฝ่าไปด้วยความกลัว ปรากฏว่า มีชายคนหนึ่ง เดินตามมา ถามด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร ว่าทำงานอยู่ในตึกนี้หรือเปล่า ก็รีบเดินหนีไม่ตอบคำถาม ฝ่ากลุ่มม็อบขึ้นมาถึงกลางสะพานลอย มีผู้ชายอีกคนท่าทางน่ากลัว มาดักหน้าไว้ ถามว่า มีคนอยู่ในตึกเยอะหรือเปล่า เลยตอบไปว่า มีพอสมควรแล้วรีบเดินหนี ผู้ชายคนนั้น ยังเดินตามมาถามว่า เอาผ้ายัดท้องหลอกมาหรือเปล่า ตอนนั้นฉุนกึก หันไปมองหน้า อยากจะตอบไปว่าท้องโตขนาดนี้ มันเหมือนยัดผ้าหรือเปล่าล่ะ แต่ก็ไม่กล้า ทำได้แค่รีบเดินหนีไปให้พ้นจากแถวนั้นให้เร็วที่สุด
เหตุการณ์วันนั้น ทำให้หลายคน ที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกันเริ่มตระหนักว่า ตอนนี้บ้านเมืองไร้ขื่อไร้แปไปแล้ว คนฮึกเหิมกลุ่มหนึ่งสามารถใช้กฎหมู่กักขังหน่วงเหนี่ยวคนหลายพันไว้เพื่อบีบให้ได้สิ่งที่ต้องการ โดยที่ไม่ได้มีความเกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองเลยแม้แต่น้อย ที่น่าสลดใจไปกว่านั้นก็คือ ผู้บังคับใช้กฎหมายเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่ายืนดูสถานการณ์
ตั้งท้อง-เป็นมะเร็ง ยังถูกกักตัว
นางทัศนีย์พนักงานอีกคนหนึ่ง ซึ่งกำลังตั้งครรภ์และต้องติดอยู่ในตึกเนชั่น เล่าว่า ช่วงบ่าย 3 โมง พยายามเดินไปหน้าตึก เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ของอาคารเนชั่น ให้ช่วยเจรจาขอออกจากตัวตึก ซึ่งเจ้าหน้าที่ให้ความร่วมมืออย่างดี พาไปรวมกับพนักงานของบริษัทอื่นๆ ที่อยู่ในอาคาร เจ้าหน้าที่ขอให้ทุกคน แขวนบัตรพนักงาน เนื่องจากช่วงเช้า กลุ่มม็อบไม่ยินยอม ให้ใครออก กระทั่ง ต้องเจรจาให้ทราบว่า พวกเขาไม่เกี่ยวข้อง ถึงยอมปล่อยออกไป แต่ก็ยังโห่ไล่ตาม
เมื่อเข้าไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ได้เจอเพื่อนอีกคนที่ท้องเหมือนกัน และมีอีกคนที่เป็น มะเร็งในเม็ดเลือด มีอาการไม่ค่อยดีเท่าไร หน้าซีด บ่นว่าหายใจไม่ค่อยออก เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่หมอนัด แต่ไม่สามารถออกไปพบแพทย์ตามนัดได้ รู้สึกใจเสีย เป็นห่วงเขา และเป็นห่วงตัวเองกับลูกในท้อง เพราะไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ทัศนีย์ พูดถึงความรู้สึก
นางทัศนีย์ เล่าอีกว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ของอาคารออกไปเจรจา ก็ส่งสัญญาณให้พนักงานกลุ่มนี้ทยอยเดินออกไป แต่กลับมีม็อบบางคนตะโกนสวนออกมาว่า ไม่ให้ออก ต้องอยู่ด้วยกัน ม็อบอยู่คนในอาคารก็ต้องอยู่ พวกคุณอยู่ในที่เย็น มีแอร์ แต่เราต้องยืนตากแดด ฉะนั้นไม่ว่าใครก็ไม่ให้ออกเด็ดขาด
พี่คนที่เป็นมะเร็ง พยายามอธิบายอาการป่วย ต้องพบแพทย์ แต่กลุ่มคนเหล่านั้น ก็ยังยืนยันไม่ให้ออกไป พวกเราจึงต้องเดินไปนั่งด้านหน้าของตึกสำนักงาน ซึ่งเป็นสวนหย่อม แต่เจ้าหน้าที่ของอาคาร ก็ยังไม่ละความพยายาม ช่วยติดต่อรถพยาบาลเพื่อให้มารับตัว รออยู่เกือบครึ่งชั่วโมงก็มีคนนำรถเข็นเข้ามา หนึ่งในเจ้าหน้าที่ของอาคารบอกเราว่า ให้เดินไปพร้อมกับคนป่วย แต่เอาเข้าจริงๆ กลับไม่ได้ออกไป กลุ่มม็อบอนุญาตแค่คนป่วยคนเดียว จึงต้องเดินกลับมานั่งรอที่เดิม ได้แต่รออย่างไม่รู้จุดหมาย กระทั่งแกนนำที่เข้าไปเจรจาได้ข้อสรุปถึงได้กลับบ้าน
วันทำข่าวที่ไม่อาจลืมเลือน
นายนพดล ศรีทวีกาศ ผู้สื่อข่าว คม ชัด ลึก กล่าวถึงเหตุการณ์วันดังกล่าวว่า ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
ผมยอมรับว่าเคยได้ยินมาตลอดกับการคุกคามสื่อ แต่ก็ไม่เคยเห็นมาก่อนว่าจะรุนแรงขนาดนี้ เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แม้ว่าตำรวจชั้นผู้ใหญ่จะนำเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 200 นาย มาดูแลความเรียบร้อย แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการใดๆ กับกลุ่มม็อบที่ยกโขยงกันมานับพันคน ปิดกั้นห้ามคนในบริษัทเนชั่น และบริษัทอื่นออกจากบริษัท อย่างไม่หวั่นเกรงต่อกฎหมาย
แม้ว่าผมจะมีแรงกดดันมากมาย แต่ก็ต้องทำข่าวตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดร่วมกับเพื่อนสื่อมวลชนจากสำนักอื่นๆ ทุกคนจะห้อยบัตรบอกสังกัดชัดเจน แต่ผมกลับไม่สามารถแขวนบัตรนักข่าวบอกสังกัดเหมือนเพื่อนๆ คนอื่นเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
ได้ฟังการปราศรัยของกลุ่มแกนนำและผู้ขึ้นไฮด์ปาร์คยอมรับว่ามันรู้สึกเจ็บปวด และสะเทือนใจมาก แววตาของผู้มาปิดล้อมเนชั่นซึ่งกระจายไปทั่วบริเวณ บ่งบอกถึงความแข็งกร้าว หลายคนถือไม้ขนาดสั้นบ้าง ยาวบ้าง นำธงไตรรงค์มาติด นึกแล้วก็ใจหาย หากว่าการเจรจาไม่ยุติอะไรจะเกิดขึ้นกับพนักงานของเรา และสิ่งที่ต้องเป็นตราบาปติดไปกับกลุ่มผู้ชุมนุมก็คือ การกระทำที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรมต่อหญิงท้องแก่ 2 ราย คนหนึ่งเป็นพนักงานหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ท้อง 8 เดือน จะคลอดอยู่รอมร่อ ส่วนอีกคนเป็นสาวจากบริษัทที่มาเช่าอาคารเนชั่น ท้อง 4 เดือน ที่ถูกห้ามไม่ให้ออกไป แม้กระทั่งสาวเนชั่นทีวี ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านม จะอ้อนวอนสักปานใดว่าต้องออกไปพบหมอที่ รพ.ภูมิพล ก็ต้องใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะได้ออกไปแบบทุลักทุเล อีกทั้งนักศึกษาฝึกงานที่ถูกปิดกั้นจนถึงกับน้ำตาไหลด้วยความขมขื่นใจต่อการกระทำที่ไร้ซึ่งเหตุผล
รวมไปถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญในช่วงค่ำหลังม็อบสลายตัวไปแล้ว ช่วงที่เราไปกินข้าวกันที่ร้านข้าวต้มฝั่งตรงข้ามกับอาคารเนชั่น ก็มีชายคนหนึ่งชักปืนออกมาขู่ตนและทีมงาน คม ชัด ลึก ภาพเหล่านี้มันจะยังติดตาไปตลอด
หัวอกคนเป็นพ่อ
นายสำราญ สมพงษ์ ผู้สื่อข่าวภูมิภาค สำนักข่าวเนชั่น กล่าวว่า นึกไม่ถึงว่า กลุ่มคาราวานคนจน ที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ที่ปากบอกว่า รักประชาธิปไตย ทำตามกติกา ได้ทำในสิ่งตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ปิดล้อมทางเข้าออกตัวอาคารทั้งหมดไม่ให้พนักงานเข้าออก
ผมมีลูกสาว 2 คน คนหนึ่งเรียน ป.4 อีกคนหนึ่งเรียน ป.3 พามาทำงานทุกวัน ในช่วงปิดเทอม และวันที่กลุ่มคาราวานคนจนมาประท้วงที่หน้าอาคารก็พามาด้วย เพราะไม่นึกว่าเหตุการณ์ จะรุนแรงอย่างนี้ พอมาถึงสะพานลอยหน้าบริษัท พร้อมกับลูกสาว เห็นเหตุการณ์ ไม่ดี จึงพาลูกไปอยู่ในห้องเช่า ฝั่งตรงข้าม กับบริษัท แล้วกลับมาดูเหตุการณ์ โดยฝ่าวงล้อม กลุ่มคาราวานคนจน เข้าไปทำงาน ภายในบริษัท
พอตกเย็น ผลการเจรจาก็ยังไม่ยุติ รู้สึกเป็นห่วงลูกสาวทั้งสองอย่างมาก ไม่รู้เขาจะมีสภาพจิตใจเป็นอย่างไร จะออกไปหาลูกสาวกลุ่มคาราวานคนจนก็ไม่ให้ออก สภาพจิตใจตอนนั้นแย่มาก ได้แต่นึกในใจว่า ถ้าพวกคุณถูกล้อมอย่างนี้บ้างจะมีความรู้สึกอย่างไร ดีที่การเจรจายุติลงโดยเร็ว
ยกพวกโห่ไล่เจ้าของ ร้านอาหารข้างเนชั่น
ดิฉันเป็นหนึ่งในพนักงานของ คม ชัด ลึก ที่ไม่สามารถเข้าไปทำงานได้ ตอนแรกเพราะคิดว่า คงไม่มีอะไรมาก แต่เมื่อมาถึงหน้าบริษัท เหตุการณ์หนักหนากว่าที่คิดไว้มาก มีการปิดถนนหน้าบริษัท ตั้งเต็นท์ขนาดใหญ่หลายอัน รถจำนวนมากจอดเรียงรายปิดกั้นทางเข้าออกทั้งหมด ดิฉันกับน้องในกอง บก.เดียวกันอีก 2 คน ลองหาทางเข้าบริษัทให้ได้ แต่ดูแล้วน่ากลัวมาก มีชายฉกรรจ์หลายคนถือไม้พลองผูกธงยืนปิดทางเข้าออกทุกทาง คอยจ้องมองดิฉันและน้องๆ ตลอดทาง และทางที่จะเข้าออกได้ถูกปิดทั้งหมด พอลองจะเข้าทางซอยข้างบริษัท ซึ่งเป็นทางออกรถยนต์ ก็มีรถตู้จอดปิดกั้นเรียงแถว และมีชายยืนถือไม้ขนาดยาวๆ ติดธงหลายคนคุมอยู่
พวกเราเลยขอเวลาตั้งหลักไปนั่งกินน้ำในร้านอาหารข้างตึกเนชั่น แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้น และน่าตกใจเกิดขึ้น กลุ่มผู้ประท้วง นั่งเต็มบริเวณสนามหน้าร้านไปหมด อยู่ดีๆ คนพวกนี้ก็ลุกฮือขึ้นมาและร้องตะโกนว่า ออกไป! ออกไป! อยู่หลายครั้ง ดิฉันกับน้องๆ ตกใจจึงลุกขึ้นไปดู ก็พบว่าคนพวกนั้นขึ้นมาตะโกนรุมไล่เจ้าของร้านที่ไปต่อว่าคนพวกนี้ เพราะไปยืนปัสสาวะอยู่บริเวณร้านของเขา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เจ๊เจ้าของร้านขอร้องไว้แล้วว่าอย่าทำ แต่พวกเขาก็ทำอีก เจ๊แกจึงไปต่อว่า สิ่งที่เห็นดูน่ากลัวมาก เพราะเจ๊เจ้าของร้านถูกกลุ่มชายฉกรรจ์รุมด่าอยู่คนเดียว จากนั้นก็มีลูกชายและลูกน้องไปช่วยดึงเจ๊ออกมาไม่ให้ไปต่อว่าคนพวกนี้อีกดิฉันรู้สึกสงสารเจ๊คนนี้มาก เพราะเจ๊ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนชั่นเลย แถมยังต้องให้คนที่มายืนอาศัยร่มเงาในที่ของเจ๊รุมด่าอีก
จากนั้นดิฉันและน้องๆ รวมทั้งลูกค้าในร้านต่างลุกออกจากร้านมา ดิฉันเลยไปยืนใกล้ รปภ.เพื่อให้รู้สึกปลอดภัยอีกครั้ง ระหว่างนั้นก็มีพนักงานในเครือเนชั่นอีกหลายคนมายืนรวมตัวกัน ซึ่งทุกคนเข้าไปทำงานไม่ได้เหมือนกัน เมื่อพวกเรามายืนรวมกันหลายคน ก็มีหญิงอายุราว 45-50 ปี รูปร่างท้วม เดินตรงมาที่พวกเรา บอกว่าใครที่จะเข้าพวกเขาให้เข้าไปได้ แต่ดิฉันก็บอกว่าอย่าเลย เพราะถ้าเราหลงเข้าไปอาจจะถูกรุมล้อมและตะโกนด่าอีกก็ได้ เพราะดิฉันเห็นว่าใครต้องการจะเข้าออกแต่ละครั้ง คนเหล่านี้ก็จะลุกฮือและรุมล้อม และตะโกนไล่ออกไป ออกไป! ออกไป! ทุกครั้ง
พนักงานบริษัทเช่าตึก โวยม็อบใช้กฎหมู่
พนักงานร้านเสริมสวยคนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ในอาคารเนชั่นทาวเวอร์และไม่ขอเปิดเผยชื่อ กล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มคาราวานคนจนที่ไม่ให้คนภายในตึกออกจากตึก โดยไม่สนใจว่าเป็นพนักงานของเนชั่นหรือไม่ ตนทำงานร้านเสริมสวย ไม่มีบัตรพนักงานติดว่าเป็นพนักงานของร้านเสริมสวย ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมคิดว่าเป็นคนของเนชั่น แม้กระทั่งคนทำงานบริษัทอื่นที่เช่าตึกของเนชั่นจะแสดงบัตรพนักงานยืนยัน ทางกลุ่มคาราวานคนจนก็ไม่ให้พนักงานคนดังกล่าวออกจากบริษัท แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าไปช่วยพูดก็ยังไม่สามารถทำได้
พนักงานร้านเสริมสวยคนเดิม กล่าวอีกว่า ปกติจะมีลูกค้าจากข้างนอกเข้ามาทำผม แต่วันนั้นมีลูกค้าเข้ามาทำผมน้อยมาก เพราะถ้าเข้ามาก็ออกไปไม่ได้ วันที่เกิดเหตุพยายามจะหาทางออกกลับบ้าน ลูกค้าในเนชั่นที่เข้ามาทำผมก็ต้องบอกเขาไปว่า ทำไม่ได้แล้ว เพราะไม่มีสมาธิเลย คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะต้องหาทางออกจากตึกให้ได้
ที่จริงฉันไม่ใช่คนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เขาก็ไม่น่าจะมากักขังไว้เลย มันไม่สมควร มันก้าวก่ายสิทธิของชาวบ้านมากเกินไป ฉันไม่ชอบที่ว่า อยู่ดีๆ ฉันต้องมาโดนด้วย ทำไมพวกนี้ต้องมากดดันคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนชั่น ด้วย พนักงานคนเดิม กล่าว
นางจันทรา สงวนแก้ว อายุ 38 ปี พนักงานบริษัท โอทิส เอเลเวเทอร์ ซึ่งเป็นบริษัทที่เช่าตึกเนชั่น ทาวเวอร์ กล่าวว่า ตอนเช้าบริษัทประกาศให้พนักงานสามารถกลับบ้านได้ ตอนนั้นก็มีพนักงานบางคนเดินทางกลับบ้าน แต่ตนยังมีงานค้างอยู่ จึงนั่งทำงานอยู่ถึงตอนเที่ยงจึงเดินลงมาออกทางประตูด้านหน้าตามปกติ แต่ปรากฏว่า แกนนำคาราวานคนจนพูดขึ้นว่า ตอนที่ให้พวกมึงออก มึงไม่ยอมออก แต่เวลาไม่ให้ออก มึงจะมาออก
นางจันทรา กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นจึงเดินออกทางประตูด้านหลัง ซึ่งเป็นลานจอดรถ พบชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาลักษณะมึนเมา และตะคอกใส่ว่า ไม่ให้ออก ถ้าอยากจะออกให้คุยกับแกนนำที่หน้าประตู พร้อมกับขยับจะเข้ามาหา เท่าที่รู้ น้องๆ พนักงานที่อยู่บริษัทเดียวกันขอออกทางประตูด้านหน้า พร้อมกับยื่นบัตรพนักงานว่าไม่เกี่ยวข้องกับ คม ชัด ลึก แต่กลุ่มผู้ชุมนุมดูแล้วก็โยนทิ้ง พูดคำเดียวว่า ไม่ให้ออก แม้แต่ตำรวจที่มาคุ้มกันก็ได้แต่พูดว่า อย่าออกไปเลย เพราะไม่รับรองความปลอดภัย
ฉันไม่กลัว แต่เกิดความรู้สึกโกรธมากกว่า และยังเป็นห่วงแม่ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจพักอยู่ที่บ้าน เขาโทรศัพท์มาหาตลอด เพื่อจะถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ออกมาได้หรือยัง ฉันไม่เห็นด้วยกับการที่คาราวานคนจนล้อมตึกเนชั่นครั้งนี้ แล้วยังมีการอ้างถึงเบื้องสูง การที่จงรักภักดีแล้วกระทำการแบบนี้ ไม่น่าจะถูกต้อง นางจันทรากล่าว
เข้าได้แต่ออกไม่ได้
พนักงานส่งเอกสารของโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งมาส่งเอกสารให้กับบริษัทเนชั่น เป็นอีกผู้หนึ่งที่ต้องถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวทั้งๆที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ
ผมมีภารกิจมาส่งเอกสารที่บริษัทเนชั่น มาถึงหน้าเนชั่นประมาณบ่าย 2 โมง มีม็อบอยู่หน้าบริษัทเต็มไปหมด จึงเดินไปมุมหนึ่งซึ่งมีตำรวจอยู่ ตำรวจถามว่าเป็นพนักงานหรือเปล่า ผมก็บอกว่าส่งเอกสาร ขอเข้าไปแค่เดี๋ยวเดียว ตำรวจคนดังกล่าวจึงไปเจรจากับม็อบ แล้วก็อนุญาตให้เข้าไปได้ ซึ่งก่อนเข้าตำรวจคนนั้นบอกว่า ตอนออกให้มาบอกเขา
ผมเข้าไปจัดการภารกิจอย่างรวดเร็ว เพราะยังต้องไปอีกหลายที่ แต่เมื่อออกมาและมาพบกับตำรวจคนเดิม เขาก็ให้เดินตามไปที่จุดที่เข้ามา แต่มีชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งตะโกนมาว่า ไม่ให้ออก ตอนเข้ามึงไม่ได้มาขออนุญาตกู ตอนนั้นแม้จะมีตำรวจอยู่ด้วย แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ทำให้ผมต้องเดินกลับเข้าไปนั่งรวมอยู่กับพนักงานคนอื่นๆ ที่มานั่งคอยเพื่อจะออกเหมือนกัน จึงรู้ว่ายังมีอีกหลายคนที่ต้องประสบชะตากรรมเดียวกับผม กระทั่งเวลาเกือบ 6 โมงเย็น จึงได้ออกจากเนชั่น
ช่างภาพช่อง 3 โดนด้วย
นายพิบูลย์ ลี้สุขสม ช่างภาพของไทยทีวีสีช่อง 3 ซึ่งเข้ามาทำข่าวตั้งแต่ช่วงเช้า เล่าว่า ปักหลักอยู่ภายในเพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพยายามทยอยส่งเทปข่าวเข้าสถานีเป็นระยะๆ แต่ก็ถูกผู้ชุมนุมปิดทางออก
ผมเดินจะออกไปส่งเทปโดยแสดงบัตรพนักงานช่อง 3 แต่พอเข้าใกล้กลุ่มม็อบกลับถูกตะคอกให้เดินกลับเข้าตึก ผมจึงพยายามอธิบายว่าเป็นพนักงานช่อง 3 มาทำข่าว แต่พวกเขาก็ไม่ยอมให้ออกไป ไม่เข้าใจว่านี่มันม็อบอะไร และต้องการอะไร ทำไมถึงกีดกันการนำเสนอข่าว ผมพยายามอธิบายว่า เรานำเสนอข่าวม็อบคนจนมาตลอด ตามมาตั้งแต่จตุจักร ทำไมต้องห้ามออกด้วย คนที่กั้นก็ไม่ฟัง ผมต้องเดินกลับเข้ามาในตัวตึกอีกรอบ เพื่อปรึกษากับเพื่อนๆ ร่วมอาชีพ ก่อนตัดสินใจเดินไปอีกรอบ หลังทิ้งระยะห่างประมาณ 30 นาที และเจรจาเหมือนกับครั้งแรก พร้อมกับพยายามโชว์บัตรยืนยันการทำงาน จึงยอมให้ออก