ยะใส ชี้ กรณีระเบิดที่พารากอน แบไต๋ ท่อน้ำเลี้ยง ยังคงทำงาน

จากกรณีเกิดเหตุระเบิดบริเวณทางเชื่อมห้างสยามพารากอนกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ทำให้ประตูของบริษัทบีเอ็มเอเอ็กซ์เพรสซึ่งเป็นร้านรับส่งเอกสารใกล้กับจุดบริการประชาชนของสำนักงานเขตปทุมวันได้รับความเสียหายตรวจสอบพบเป็นระเบิดแสวงเครื่องชนิดไปป์บอมบ์2ลูกเหตุเกิดช่วงหัวค่ำวันที่1 ก.พ.ที่ผ่านมา ตามที่เคยเสนอข่าวไปนั้น

ความคืบหน้าล่าสุด นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว กล่าวถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า

ระเบิดหน้าพารากอน "ท่อน้ำเลี้ยง" ยังคงทำงาน

ในที่สุด คสช.กับรัฐบาลโดยนายกฯ ก็ออกมาย้ำตรงไปตรงมาว่ามือก่อเหตุวางระเบิดที่หน้าสยามพารากอน เป็นกลุ่มที่โยงกับกลุ่มก่อเหตุรุนแรงเมื่อปี 2553 ช่วงที่ม็อบ นปช.ปิดแยกราชประสงค์และเป็นเครือข่ายเดียวกับกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงกับการชุมนุมของมวลมหาประชาชนเมื่อปี 2557

หลังจากที่วันแรกๆ อ้อมแอ้มกันไปมา สารพัดสมมติฐานและสาเหตุ แต่ด้วยหลักฐานภาพวงจรปิดและการข่าวของรัฐทำให้ต้องพูดความจริงกันจนเตรียมออกหมายจับ 3 ผู้ก่อเหตุ เป้าจึงพุ่งตรงไปที่กลุ่มหัวรุนแรงที่เอียงอำนาจเก่า

ปรากฎการณ์ครั้งนี้แม้ไม่มีผู้เสียชีวิต แต่สะท้อนศักยภาพของปฏิบัติการณ์ที่ไม่ธรรมดา เลือกพื้นที่ไข่แดงของมหานครย่านดาวน์ทาวเพื่อสร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองมากกว่าเสียงดังของระเบิดที่เรียกกันว่าไปป์บอมบ์และยังลูบคมกองทัพและฝ่ายความมั่นคงที่ถือดาบเต็มมือหรือกฎอัยการศึกอยู่

ที่ต้องตั้งคำถามคือการขยายผลของเจ้าหน้าที่ที่จับกุมชายชุดดำและนำมาแถลงข่าวใหญ่โต ว่าป็นกลุ่มที่มีอาวุธสงครามไว้ครอบครองและเกี่ยวพันกับเหตุการณ์สี่แยกคอกวัวและการสังหาร พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม นั้น

คดีไปถึงไหน ขยายผลได้ความคืบหน้าอย่างไร ดูเหมือนเรื่องเงียบหายไป จนมาเกิดเหตุที่สยามพารากอน ยิ่งตอกย้ำว่าลำพังอาวุธสงครามที่ทยอยจับกันมาหลังรัฐประหาร ไม่ได้ทำให้ความร้ายกาจของกลุ่มหัวรุนแรงกลุ่มนี้ลดลงหรือหดหายไป ซ้ำร้ายยังพร้อมก่อเหตุได้ตลอดเวลา

ที่สำคัญคือเครือข่ายนี้ยังดำรงอยู่ มีกองกำลัง มีศักยภาพ มีแผน และที่สำคัญมีท่อน้ำเลี้ยงและอำนาจอุปถัมภ์ที่อาจไม่ธรรมดา

ความรุนแรงครั้งนี้โชคดีไม่มีใครเสียชีวิต แต่ไม่มีใครการรันตีใดๆได้ว่าเหตุการณ์เยี่ยงนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก...