′ปณิธาน′เผยพูดคุยสันติสุข′ฟรีทอล์ค′แก้ปมชิงพื้นที่สื่อ

วันที่ 16 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี

กล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่าทางฝ่ายเลขาของสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ของมาเลเซียจะเดินทามาที่ไทยเพื่อดำเนินการเจรจาพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ต้องตรวจสอบกับสมช.ของไทย แต่ตามที่เข้าใจคือเมื่อมีการตั้งคณะกรรมการ 3 ชุดเรียบร้อยแล้วก็จะดำเนินงานประสานกับมาเลเซียตามขั้นตอน

ซึ่งฝ่ายไทยกำหนดให้สมช.เป็นเจ้าภาพหลักในการประสานงาน

ส่วนจะเริ่มพูดคุยสันติสุขได้เมื่อไหร่นั้นคิดว่าคงต้องให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่าการพูดคุยครั้งนี้จะแตกต่างจากการทำงานครั้งก่อนๆ ที่ไม่เป็นระบบ เมื่อเดินเร็วไปก็เกิดผลกระทบหลายอย่างที่ทำให้หลายกลุ่มไม่พอใจ มีการแย่งชิงพื้นที่สื่อ ทำให้คราวนี้ต้องจะจัดระบบ ที่เรียกว่าการเตรียมการพูดคุยแบบ “ฟรีทอล์ค” ที่ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ความรุนแรงอย่างเดียว

แต่จะคุยเพิ่มอีก 6 เรื่องคือเรื่อง อาทิ การพัฒนา ความปลอดภัย การศึกษา เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ที่คณะกรรมการระดับล่างจะดำเนินการ ดังนั้นเรื่องของสันติสุขจึงซับซ้อนกว่าครั้งที่แล้ว ที่คุยแต่เรื่องสันติภาพอย่างเดียว อีกทั้งถ้ากติกาและกลไกนิ่งแล้วก็จะดำเนินการได้เร็ว

ถามว่า ทางไทยขอให้ทางมาเลเซียติดต่อพูดคุยกับบุคคลที่มีอิทธิพลในพื้นที่เท่านั้นหรือไม่

นายปณิธานกล่าวว่า ทางมาเลเซียมีบทบาทที่จะอำนวยความสะดวก และประสานงาน เราเองมีความต้องการที่จะคุยกับใครบ้างก็จะบอกให้เขาประสานงาน หากทางมาเลเซียมีความคิดเห็นอย่างไรก็รับฟัง แต่เราเองจะเป็นฝ่ายผลักดันขับเคลื่อน มีเป้าชัดเจนว่าต้องการจะเชื่อมกับกลุ่มไหนบ้าง ระบุตัวบุคคล และทางฝ่ายที่เราจะพูดคุยต้องถามด้วยว่าเขาอยากคุยกับเราขนาดไหน ซึ่งเรื่องนี้กำลังจัดระบบกันอยู่

ถามว่าขณะนี้ที่มีอิทธิพลในพื้นที่ยังคงเป็นบีอาร์เอ็นอยู่หรือไม่
 
นายปณิธานกล่าวว่า จริงๆ มีหลายกลุ่มแยกออกไปจากกลุ่มเดิม บางกลุ่มก็อาจจะไม่เป็นที่รู้จัก แต่มีบทบาท ทางกอ.รมน.นั้นรู้ดี ก็จะดูเรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย การใช้กฎหมายอย่างเช่น พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงปลอดภัยในราชอาณาจักร มาตรา 21 ในการช่วยดำเนินการในเรื่องนี้ เพราะในครั้งที่แล้วข้อกฎหมายไม่ชัด

ครั้งนี้ต้องชัดว่าจะเดินตามมาตรา21 อย่างไร และดูในเรื่องของสถานภาพทางกฎหมายของแต่ละกลุ่มที่จะคุยกัน
 
เงื่อนไขทางกฎหมายที่แต่ละกุล่มมี ทั้งหมดนี้ใช้เวลานิดหน่อย แต่ว่าเป็นระบบแม้อาจจะช้าหน่อย แต่ก็มองถึงระยะยาวว่าหากทำได้แม้รัฐบาลจะเปลี่ยน ผู้นำเหล่าทัพเปลี่ยน แต่ระบบเหล่านี้ก็จะยังไม่เปลี่ยน ซึ่งคราวที่แล้วเร็วไปและยังไม่นิ่ง