ปูโวยกลางสภาฯ ถูกถอดถอนซ้ำซ้อน

สนช.เริ่มถกถอดถอน "ปู"แล้ว เจ้าตัวโวยกลางสภาฯ เจอถอดถอนซ้ำซ้อน ปัดโกงจำนำข้าว ยันบริหารราชการซื่อสัตย์-โปร่งใส ทำเพื่อชาวนา

เมื่อวันที่ 9 ม.ค. ที่รัฐสภา การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)

ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง กรณีไม่ระงับยับยั้ง ปล่อยให้เกิดความเสียหายในโครงการจำนำข้าว ได้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 10.00 น.โดยนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ได้รับมอบหมายในฐานะผู้กล่าวหา แถลงเปิดสำนวนคดีถอดถอนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงในโครงการรับจำนำข้าว รวมตลอดโครงการตั้งแต่ปี 2554-2556 มีผลขาดทุนรวมกว่า 332,372 ล้านบาท ไม่รวมข้าวเสื่อมสภาพ และเงินที่ใช้ในโครงการ 565,268 ล้านบาท มีภาระหนี้รวมกว่า 4 แสนล้านบาท ทั้งที่ ป.ป.ช. และหลายหน่วยงานได้ส่งหนังสือท้วงติงไปยังรัฐบาลแล้ว แต่กลับไม่มีการระงับยับยั้งโครงการ แต่อย่างใด จึงถือว่าเป็นการละเลย จนเกิดความเสียหาย การดำเนินงานของ ป.ป.ช. ไม่ได้เป็นการรวบรัดเร่งรีบคดี ตามที่ถูกกล่าวหาว่า 2 มาตรฐาน

จากนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เริ่มแถลงคัดค้านโต้แย้ง และแถลงเปิดสำนวนตอนหนึ่งว่า
 
ขอความเป็นธรรมต่อสภาฯ โดยประเด็นที่สภาฯ กำลังพิจารณาจะกระทบใน 2 ประการ คือ 1.ความถูกต้องชอบธรรม เพราะตนพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากการถอดถอนแล้วถึง 3 ครั้ง จากการยุบสภาฯ จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และจากประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพราะฉะนั้นวันนี้ตนไม่เหลือตำแหน่งใดให้ถอดถอนอีก หากสภาฯ ดำเนินการต่อไป ก็ถือว่าซ้ำซ้อน ไม่เป็นธรรม และสร้างมาตรฐานที่ไม่ถูกต้อง 2.นอกจากจะกระทบต่อตน นักการเมืองทั่วไป ยังกระทบต่อเกษตรกรไทย และชาวนาที่หวังผลต่อนโยบายเกี่ยวกับข้าว และนโยบายด้านการเกษตร กระทบต่อความหวังของชาวนา และที่ผ่านมาได้พยายามเสนอหลักฐานให้ ป.ป.ช.พิจารณาหลายชิ้น แต่ ป.ป.ช.เลือกที่จะพิจารณาหลักฐานจากคณะอนุกรรมการปิดบัญชีเท่านั้น

"ดิฉันขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ป.ป.ช. และฝ่ายค้านในอดีต และขอโต้แย้งคำแถลงเปิดสำนวน ดิฉันขอยืนยันว่าบริหารราชการแผ่นดินในฐานะนายกฯ และ รมว.กลาโหม ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ข้อกฎหมาย และแนวทางการบริหารราชการที่ดี โปร่งใส และเป็นธรรม" น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว และว่านอกจากนี้จากเอกสารของ ป.ป.ช.มีตอนหนึ่งระบุว่าในชั้นนี้พยานหลักฐาน ยังไม่ปรากฎชัดเจนว่าผู้ถูกกล่าวหามีส่วนร่วมในการทุจริต หรือสมยอมให้เกิดการทุจริต ดังนั้นจึงขอยืนยันว่านโยบายนี้เป็นสัญญาประชาคมที่รัฐบาลต้องทำ.