สปช.รุมจวกข้อเสนอเลือกนายกฯ -ครม.โดยตรง "ปู่ชัย"เชื่อแก้ซื้อเสียงไม่สำเร็จ บอกเป็น ส.ส.มากว่า 40 ปี ไม่เคยจับนักการเมืองทุจริตเข้าคุกได้ หนุนนายกฯ ต้องเป็น ส.ส. ด้าน "วรวิทย์"แนะตรวจสอบทรัพย์สินผู้แทนย้อนหลัง
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. เวลา 14.38 น.ที่รัฐสภา นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธาน กมธ.ปฏิรูปการเมือง
ได้นำเสนอรายงาน กมธ. ว่า ระบบรัฐสภาไทยในปัจจุบัน มีข้อเสียตรงที่ฝ่ายรัฐบาลเสียงข้างมากมีอำนาจเหนือฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ทำให้อำนาจการตรวจสอบอ่อนแอ การเกิดทุจริตรุนแรง กมธ.จึงมีความเห็นให้แยกอำนาจฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายนิติบัญญัติออกจากกัน โดยมีการเลือกตั้งฝ่ายบริหารโดยตรง ซึ่งมีข้อดีคือทำให้ฝ่ายบริหารทำหน้าที่บริหารประเทศเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องทำหน้าที่นิติบัญญัติ จึงมีเวลาทุ่มเทแก้ปัญหาให้ประชาชนเต็มที่ รวมทั้งกำหนดให้ฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจยุบสภา ทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีเสถียรภาพ และมีอิสระไม่ถูกแทรกแซงจากการคุกคามของฝ่ายบริหาร เพราะที่ผ่านมาฝ่ายบริหารมักใช้อำนาจยุบสภา เพื่อแก้ปัญหาทางการเมือง
นายสมบัติ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้การแยกอำนาจฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติออกจากกัน ทำให้การซื้อสิทธิขายเสียงเกิดขึ้นยาก
เพราะ ส.ส.ไม่สามารถเรียกร้องผลประโยชน์จากรัฐบาลได้ ระบบดังกล่าวไม่ใช่ระบอบประธานาธิบดี เพราะระบอบประธานาธิบดี หมายถึงหัวหน้าฝ่ายบริหารต้องเป็นประมุขของรัฐด้วย แต่วิธีการนี้นายกรัฐมนตรีทำหน้าที่เป็นเพียงหัวหน้าฝ่ายบริหาร แต่ไม่ใช่ประมุขของรัฐ เนื่องจากพระมหากษัตริย์ยังเป็นประมุขของรัฐเช่นเดิม
ขณะที่ กมธ.เสียงข้างน้อยได้อภิปรายไม่เห็นด้วยกับการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง
อาทิ นายชัย ชิดชอบ ในฐานะ กมธ.เสียงข้างน้อย อภิปรายไม่เห็นด้วยกับการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง โดยระบุว่า หากเพื่อต้องการแก้ปัญหาการทุจริตซื้อสิทธิ์ขายเสียงนั้น เห็นว่าตนเป็น ส.ส.มา 40 กว่าปี ไม่เคยจับนักการเมืองหน้าไหนไปเข้าคุกได้ การให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ ครม.พรรคก็ต้องส่งรายชื่อนายทุนพรรคเป็นผู้ลงสมัคร และสามารถเรียกเงินจากนายทุนพรรคเป็นร้อยเป็นพันล้าน เพราะพวกนี้กระสันอยากเป็นรัฐมนตรี และเลือกรัฐมนตรีเชื่อได้เลยว่าจ่ายไม่ต่ำกว่าหัวละ 5,000-10,000 บาท อยากให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับวิเศษวิโสที่เราทำอยู่นี้ ควรบัญญัติให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากพรรคการเมือง และต้องได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ด้วย
ขณะที่นายนันทวัฒน์ ปรมานันท์ สปช.กล่าวว่า ขอเสนอให้นายกรัฐมนตรีทำบัญชีรายชื่อ ครม. เสนอให้รัฐสภาพิจารณาและให้ความเห็น
โดยบุคคลที่จะอยู่ในบัญชี ครม.ต้องเป็นคนเก่ง มีความซื่อสัตย์ มีความถนัดเฉพาะด้านที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงนั้น และต้องมีการตรวจสอบประวัติจากบุคคลภายนอกรัฐสภาได้ด้วย ทั้งนี้หากการตรวจสอบพบว่ามีคนที่สังคมไม่สนับสนุน นายกฯ ไม่ต้องตั้งบุคคลนั้น และให้บุคคลอื่นมาเป็นรัฐมนตรี
นายวรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา สปช. กล่าวว่า ขอเสนอให้มีการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ส.ส.ย้อนหลัง
เพื่อให้สามารถตรวจสอบที่มาของทรัพย์สินได้ ทั้งนี้ในเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งการปฏิรูปการเมืองและปฏิรูปประเทศจำเป็นต้องมองปัญหาและโครงสร้าง ปัญหาการซื้อเสียง เพราะระบบทุนเข้ามาอยู่ในการเมือง วิธีการแบ่งเขตมีผลต่อการซื้อเสียง ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งเขตหนึ่งคนหรือเขตละไม่เกิน 3 คน ตนเสนอให้มี ส.ส.ในสภาจำนวน 350 คน โดยเฉลี่ยประชากร 185,103 ต่อ ส.ส.1 คน โดยให้แบ่งเขตเลือกตั้งเขตละไม่เกิน 3 คน ทั้งนี้การซื้อเสียงทำได้ง่ายหากเป็นเขตเลือกตั้งขนาดเล็ก ดังนั้นจึงควรแก้ไขให้เป็นเขตเลือกตั้งแบบใหญ่ไม่เรียงเบอร์ ที่จะทำให้ไม่สามารถซื้อเสียงแบบยกพวงเหมือนในอดีตได้.