ผบ.ทบ.รับมีเจ้าหน้าที่รัฐ เอี่ยว "น้ำมันเถื่อน-ยาเสพติด" จังหวัดชายแดนใต้ ด้าน "แม่ทัพภาค4" ส่งหลักฐาน "เสี่ยโจ้"ให้ดีเอสไอ-ปปง.ตรวจสอบต่อ
เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ที่ฝูงเครื่องบินกองการบิน กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.)
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พร้อมด้วยพล.ท.ปราการ ชลยุทธ แม่ทัพภาคที่ 4 และคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพบก เดินทางลงพื้นที่ค่ายวชิราวุธ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของกองทัพภาคที่ 4 โดยพล.อ.อุดมเดช กล่าวถึงการดูแลภัยแทรกซ้อน เช่น ปัญหายาเสพติด เรื่องน้ำมันเถื่อนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ปัญหาภาคใต้มีภัยแทรกซ้อนหลายอย่างที่ต้องพยายามควบคุมให้ได้ บางสิ่งมีข้อมูลเชื่อมโยงกับผู้ก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนั้นต้องเน้นย้ำให้ควบคุมให้ได้ ที่ผ่านมามีการจับกุมได้จนเป็นผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสืบและจับกุมต่อไปว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดบ้าง ส่วนที่มีความกังวลว่าเจ้าหน้าที่จะไปรับผลประโยชน์เองนั้นก็ต้องมีการตรวจสอบ ซึ่งมีความเป็นไปได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานและข้อมูล ตนจะไม่ไปชี้และปรักปรำคนหนึ่งคนใดโดยไม่มีข้อมูล ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการสืบสวน
เมื่อถามถึงความคืบหน้าการพูดคุยสันติสุขช่วงกลาง ธ.ค.นี้
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการในส่วนของการปฏิบัติ ทางคณะกรรมการพูดคุยฯ ต้องไปพูดคุยกับมาเลเซียว่าการเริ่มกระบวนการดังกล่าวจะมีกรอบการปฏิบัติอย่างไร ซึ่งจะต้องเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย โดยทางฝ่ายมาเลเซียจะได้นำสิ่งต่างๆไปจัดให้การพูดคุยเป็นไปด้วยความเรียบร้อยที่ต้องเร่งดำเนินการตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี
ด้านพล.ท.ปราการ ชลยุทธ แม่ทัพภาค 4 กล่าวว่า การค้าน้ำมันเถื่อนถือเป็นภัยแทรกซ้อน
เช่นเดียวกับปัญหายาเสพติด การเมืองท้องถิ่น การแย่งชิงอำนาจ และขัดแย้งในพื้นที่ ซึ่งกอ.รมน.ภาค 4 สน. ได้กวาดล้างจับกุมต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือคดีนายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้ ที่พบบัญชีส่งส่วยให้เจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งได้ส่งหลักฐานดังกล่าวให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง.) ตรวจสอบแล้ว ยอมรับว่าน่าจะมีเจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง และหากพบว่ากระทำผิดจริงก็จะถูกลงโทษ เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ 2 นาย ที่ช่วยพาเสี่ยโจ้หลบหนี.