ชาวบ้านร้องเรียนเพียบไม่มีปากกาในคูหา"อภิรักษ์"ถือมาเองจากบ้าน
ชาวบ้านร้องเรียน"คมชัดลึก"จำนวนมากว่าในคูหาลงคะแนนไม่มีปากกาใช้ลงคะแนน ด้าน ´อภิรักษ์" เตรียมปากกามาใช้สิทธิเลือกตั้งเอง ขณะเดียวกันพบเลขที่บ้านใหม่ กทม.ทำประชาชนสับสนหน่วยเลือกตั้ง
ในช่วงเช้าที่ผ่านมามีประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร ได้โทรศัพน์มาร้องเรียนหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ว่าภายในคูหาเลือกตั้ง ไม่มีปากกาที่ใช้ลงคะแนน โดยผู้ร้องเรียนอยู่ในเขตเลือกตั้งต่างคลุมพื้นที่กรุงเทพ และที่มากที่สุดได้แก่ พื้นที่ย่านชานเมือง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.15 น. นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) พร้อมด้วยนางปฏิมา โกษะโยธิน ภรรยา ได้เดินทางมายังหน่วยเลือกตั้งที่ 3 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย บริเวณสวนเบญจสิริ เพื่อลงคะแนนใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยนายอภิรักษ์ มีรายชื่ออยู่ลำดับที่ 267 และนางปฏิมา ลำดับที่ 268 เมื่อนายอภิรักษ์ มาถึง ได้เข้าไปตรวจรายชื่อที่บอร์ด และเข้าไปลงคะแนน ทั้งนี้ได้เตรียมปากกามาลงคะแนนด้วยตนเอง
จากนั้นให้สัมภาษณ์ว่า ตนอยากเชิญชวนประชาชนทุกคนมาใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งสามารถมาใช้สิทธิได้จนกระทั่งเวลา15.00 น. อีกทั้งเป็นการรักษาระบอบประชาธิปไตย ส่วนจะเลือกอย่างไรก็เป็นสิทธิของแต่ละบุคคลอยู่แล้ว ซึ่งโดยส่วนตัวอยากเห็นประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งให้มากๆ โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่และผู้ที่สามารถใช้สิทธิได้เป็นปีแรก ทั้งนี้ไม่อยากให้ประชาชนรู้สึกเบื่อการเมืองและการเลือกตั้ง แต่อยากให้ออกมาใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้มีจำนวนผู้มาใช้สิทธิมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
หลังจากที่นายอภิรักษ์ ลงคะแนนเลือกตั้งเสร็จ ได้พาครอบครัวไปรับประทานอาหาร จากนั้นจะไปร่วมงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ อย่างไรก็ตาม นายอภิรักษ์ ยืนยันว่าจะไม่เดินทางไปตรวจหน่วยเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นหน้าที่ของข้าราชการ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เป็นผู้จัดการเลือกตั้ง อีกทั้งจะไม่เดินทางเข้าพรรคประชาธิปัตย์ด้วย แต่หากมีอะไรก็จะใช้วิธีโทรศัพท์ติดต่อกัน
สำหรับบรรยากาศการเลือกตั้งที่สวนเบญจสิริ มีผู้มีสิทธิจำนวนไม่น้อยทยอยเดินทางมาใช้สิทธิ ตั้งแต่เวลา 08.00 น. หลังจากที่เปิดหีบเลือกตั้ง ซึ่งผู้ที่มาใช้สิทธิส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนวัยทำงานและค่อนข้างอาวุโส โดยส่วนใหญ่เดินทางมาเป็นครอบครัว ทั้งนี้ในบริเวณสวนเบญจสิริ ประกอบด้วยหน่วยเลือกตั้งจำนวน 2 หน่วย ซึ่งผู้มีสิทธิส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุคคลที่อยู่ในตระกูลที่มีชื่อเสียงในวงสังคมทั้งสิ้น รวมทั้งยังมีชาวต่างชาติอีกจำนวนหนึ่งที่มีสิทธิเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งนี้ ส่วนเขตเลือกตั้งดังกล่าวนี้ มีผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง ส.ส. เพียง 1 พรรคเท่านั้น คือ น.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า เมื่อเวลา 08.00 น. คุณหญิงณฐนนท ทวีสิน ปลัดกทม. เดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่หน่วยเลือกตั้งที่ 6 ภายในโรงเรียนวัดราชนัดดา แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร จากนั้นได้เดินทางไปตรวจความพร้อมของสถานที่นับคะแนนที่สำนักงานเขตจตุจักร สำนักงานเขตบางกะปิ พบว่าเจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมสถานที่ไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งพื้นที่รับหีบบัตร พื้นที่นับคะแนน หลังจากนั้นได้เดินทางไปตรวจหน่วยเลือกตั้งในเขตสะพานสูง ราษฎร์บูรณะ โดยคุณหญิงณฐนนท กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยทั้งบุคคลากรและอุปกรณ์ต่างๆ ส่วนการเปลี่ยนบ้านเลขที่ใหม่ของกทม.ทำให้คนไปหน่วยเลือกตั้งไม่ถูกนั้น เรื่องนี้อาจเกิดความสับสนอยู่บ้าง แต่ไม่ต้องเป็นห่วงขอให้ประชาชนโทร.สอบถามได้ที่สำนักงานเขตและบอกหมายเลขประจำตัว 13 หลัก เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบให้และจะบอกหน่วยเลือกตั้งให้ทันที
ด้านคุณหญิงณฐนนท ทวีสิน ปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) เดินทางไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งที่หน่วยเลือกตั้งที่ 6 วัดราชนัดดา เป็นคนแรกของหน่วย โดยใช้เวลาเพียง 2 นาที จากนั้นให้สัมภาษณ์ว่า คน กทม.เคยทำสถิติออกมาใช้สิทธิมากในการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 ถึงร้อยละ 72 จึงต้องการให้ปีนี้มาใช้สิทธิกันให้มากๆ เช่นเดิม เพราะการเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของพลเมืองดีทุกคน โดยเฉพาะในตั้งแต่ช่วงเช้า เพราะเกรงว่าช่วงบ่ายอาจจะมีฝนตก จากสภาพอากาศแปรปรวน
สำหรับที่มีข้อสังเกตในการที่ปีนี้เป็นครั้งแรกที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้ผู้ใช้สิทธิหันหลังให้เจ้าหน้าที่ขณะเข้าคูหากากบาท ทำให้อาจมีคนมองเห็นการลงคะแนนได้นั้น ปลัด กทม.กล่าวว่า ส่วนตัวไม่วิตกว่าจะมีคนเห็น เพราะคงไม่มีใครสังเกตขนาดนั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 35 เขตเลือกตั้งที่ 11 บริเวณที่จอดรถ ธนาคารไทยพาณิชย์ แขวงจอมพล เขตจตุจักร ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย พร้อมภรรยา ได้เดินทางมาใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง และปฏิเสธให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวทุกคำถาม
ส่วนที่หน้าสำนักงานมหาวิทยาลัยมหิดล ย่านสะพานพระปิ่นเกล้า นายแพทย์ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส พร้อมด้วยนางนฎา วะสี ภรรยา และครอบครัว ได้เดินทางมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ภายหลัง นพ.ประเวศ วะสี ได้ให้สัมภาษณ์ ถึงการประเมินสถานการณ์ หลังการเลือกตั้งว่าจะเป็นอย่างไร ว่า ขณะนี้คงบอกอะไรไม่ได้ แต่ในฐานะคนแก่ ก็ต้องพยายาม มองโลกในแง่ดีไว้ เพราะหาก จะมองแต่แง่ร้าย จิตใจ ก็จะไม่ดีตามไปด้วย ซึ่ง โดยสถานการณ์ขณะนี้ ตนคิดว่า ทุกฝ่ายต้องมีสติและปัญญา แล้วทำในสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งถ้าเราใช้ความจริงแล้วผลทุกอย่างก็จะออกมาในแง่ดี
เมื่อถามถึงความกังวล ของหลายฝ่าย ที่อาจจะไม่ยอมรับ ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ นพ.ประเวศ กล่าวว่า เมื่อมีคนไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งจริงๆ ก็ต้องดำเนินการ ตามแนวทางรัฐธรรมนูญ ในการออกมาแสดงความคิดเห็น และตรวจสอบ ซึ่ง ถ้าไม่มีสิ่งใดที่ทำผิดกฎหมาย ทุกอย่างก็จะสามารถดำเนินการได้ทั้งนั้น
เมื่อถามว่าผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นข้อยุติสำหรับการชุมนุมทางการเมืองของฝ่ายคัดค้านและฝ่ายที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้หรือไม่ นพ.ประเวศ กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบอะไรได้ ซึ่งจะต้องรอดูผลการเลือกตั้งที่แท้จริงก่อนว่าจะออกมาเป็นอย่างไร
เมื่อถามถึง กรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ เตรียมให้ฝ่ายกฎหมายยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญตีความ เรื่องการเปิดสภาผู้แทนราษฎรกรณีที่ เสียงผุ้สมัคร สส.ไม่ครบตามจำนวน นพ.ประเวศ กล่าวว่า การกระทำดังกล่าว ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่เห็นด้วยว่าสามารถเปิดสภาได้ หรือฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ว่าเปิดสภาไม่ได้ ก็จำเป็นจะต้องดำเนินการ ให้มีการตีความในเรื่องนี้ ซึ่งก็มีการศึกษาแง่มุมของกฎหมายต่างๆ ในเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องที่ยากมาก คือการตีความของศาลรัฐธรรมนูญก็จะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้สังคมและประชาชนได้เข้าใจและเรียนรู้ว่ากฎหมายเลือกตั้ง เป็นอย่างไร ซึ่งการตีความจะช่วยยกระดับความรู้ของสังคมไทย ซึ่งปกติแล้ว สังคมไทย เรียนรู้ ได้ยากมาก
เมื่อถามถึง แนวทาง ที่จะเป็นทางออกของสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันนี้ นพ.ประเวศ กล่าวฝากถึงพ.ต.ท.ทักษิณ และฝ่ายต่างๆ ว่า คงจะต้องรอดูผลการเลือกตั้ง และต้องพยายาม ตั้งจิตใจให้ดี เพื่อใช้สันติวิธี อย่าทะเลาะกัน หากจะเกิดข้อโต้เถียงกัน ก็ต้องรู้จักใช้สันติวิธีอย่างมาก ทั้งนี้ หากจะดำเนินการใดๆ ก็ต้องเน้น หลัก 5 ประการคือ
1. ทุกฝ่ายต้องใช้สัจจะ อย่าไปใช้ความไม่จริง
2 ต้องใช้สันติอย่างใช้ความรุนแรงใด
3. ต้องใช้อหิงสา แม้จะมีความโกรธ ความเกลียดใดๆ ขึ้นมาก็อย่าก่อความพยาบาทอาฆาตใด
4. ต้องใช้ปัญญา
5. ต้องใช้ มัชฌิมา ปฏิปทา อย่าทำอะไรที่สุดโต่ง เกินเลยไป
ซึ่งถ้าหาก ทุกฝ่าย ดำเนิน ตามแนวทาง ดังกล่าวทั้ง 5ประการเชื่อได้ว่า น่าจะพบทางออกอย่าแน่นอน