"บิ๊กตู่" สั่งหน่วยมั่นคงจับตากลุ่มเคลื่อนไหวการเมือง ขู่งัด ม.44 จัดการ ให้อำนาจเต็มหัวหน้า คสช. ติง "สื่อ"ใช้คำบั่นทอนกำลังใจเจ้าหน้าที่
เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังประชุม ครม. ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้กำชับในที่ประชุมให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องติดตามความเคลื่อนไหวทุกกลุ่มทุกฝ่าย รวมถึงกลุ่มการเมืองที่เริ่มออกมาเคลื่อนไหวโดยเริ่มจากการทำความเข้าใจก่อนเพราะรัฐบาลพยายามทำให้เกิดความเรียบร้อย หลังจากนั้นจะเริ่มบังคับใช้กฎหมาย โดยเริ่มจากเบาไปหาหนัก คือกฎหมายปกติจนไปถึงกฎอัยการศึก หรือหากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว เราก็ต้องทำ เพื่อดูแลสถานการณ์ให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้
ส่วนการทำงานของพลเรือน ตำรวจ และทหาร ที่มีผลกระทบต่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้กฎหมาย
การจัดระเบียบต่าง ๆ ก็ขอให้ทำด้วยความเข้มแข็ง โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับหัวหน้าหน่วยงานที่จะลงไปปฏิบัติพบปะกับประชาชน ขอให้เลือกหัวหน้างานที่มีความเป็นผู้ใหญ่ มีวิจารณญาณสุภาพเรียบร้อย เพื่อสร้างความเข้าใจมากกว่าการบังคับใช้กฎหมาย
“นายกฯ ยังให้ติดตามข้อมูลข่าวสารจากสื่อมวลชน โดยเฉพาะสื่อหนังสือพิมพ์ว่าสิ่งใดกระทบต่อความมั่นคง ความเข้าใจต่อประชาชนหรือไม่ โดยให้ชี้แจงทำความเข้าใจต่อสื่อและประชาชนว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะมีสื่อบางส่วนเสนอข้อมูลเดิม โดยไม่สนใจข้อมูลที่ผู้เกี่ยวข้องพยายามชี้แจง ขอให้สื่อทำให้องค์กรเข้มแข็ง ได้รับความน่าเชื่อถือจากแต่ละส่วน แต่ละฝ่าย และคำบางคำเป็นเชิงลบ อาทิ โว ฟุ้ง ปัด ทำให้คนในสังคมฟังแล้วไม่เกิดความเชื่อถือ และเป็นการลดทอนกำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน หวังว่าสื่อจะเสนอแนวความคิดนี้ไปยังสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ด้วย”พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 44
บัญญัติไว้ว่าในกรณีที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เห็นเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์ ในการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ หรือเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีอำนาจสั่งการระงับยับยั้ง หรือกระทำการใด ๆ ได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำ รวมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว เป็นคำสั่งหรือการกระทำ หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด ทั้งนี้ เมื่อได้ดำเนินการดังกล่าวแล้ว ให้รายงานประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว.