"เจษฎ์"งงมีชื่อติดโผ กมธ.ยกร่างฯ ยันครม.-คสช.ไม่เคยทาบทาม แนะ สปช.อย่าหลงประเด็น บอกโจทย์ใหญ่ของประเทศคือการปฏิรูป อย่าหมกมุ่นแค่ รธน.อย่างเดียว
เมื่อวันที่ 23 ต.ค. นายเจษฎ์ โทณวณิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวที่มีชื่อเป็นหนึ่งในโควต้าของคณะรัฐมนตรี(ครม.)และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้เป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ไม่ทราบเรื่อง เพราะไม่เคยมีคนใน คสช.และครม.มาทาบทามหรือพูดคุยอะไรกับตนในเรื่องดังกล่าว และไม่มีการมาขอความเห็นจากตนในเรื่องของข้อกฎหมาย อย่างไรก็ตามหากมีการเสนอชื่อ ตนก็ไม่ขัดข้อง ถ้าตนพอจะช่วยอะไรได้ก็คงทำ เมื่อถามว่าถ้ารัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่กำลังจะถูกยกร่างขึ้นมา ถูกรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งฉีกทิ้งเพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยอ้างว่าของเดิมมาจากการปฏิวัติ มองอย่างไร นายเจษฎ์ กล่าวว่า การร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ต้องไม่ใช่ร่างขึ้นเฉพาะกิจ หรือให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ต้องร่างโดยอยู่บนพื้นฐานของหลักการที่ถูกต้อง ใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ และเป็นไปตามหลักการที่สากลยอมรับ เพราะถ้าจะมีการแก้ไขกันในอนาคตอีก ก็จะแก้ได้ไม่ง่ายนัก แต่ถ้ายกร่างขึ้นเพื่อกีดกันใครหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตนเชื่อว่าจะถูกฉีกทิ้งแน่นอน
นายเจษฎ์ กล่าวอีกว่า กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ คงเจอหลายอย่าง
เพราะนอกจากที่มีกรอบการยกร่างไว้แล้วระดับหนึ่งซึ่งเป็นประเด็นต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตรา 35 แล้ว ยังมีส่วนที่ต้องไปคิดเอง ขณะเดียวกันก็ต้องรับฟังความคิดเห็นต่าง ๆ และมีสิ่งที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) จะเสนอให้นำไปบรรจุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญด้วย เท่าที่ตนฟังสิ่งที่ สปช.หารือกัน ก็น่าหวั่นใจเพราะดูเหมือนจะมาเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งที่การปฏิรูปประเทศไม่ใช่แค่การร่างรัฐธรรมนูญ เพราะการปฏิรูปบ้านเมืองเป็นโจทย์ที่ใหญ่กว่า แม้รัฐธรรมนูญเป็นกรอบของการทำงานของบ้านเมือง แต่การทำงานของบ้านเมืองในรายละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางแผนระยะสั้น กลาง และยาวนั้น ไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่การวางกลไก โครงสร้าง และทางไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่สปช.ต้องคิดทำ
ทั้งนี้ตนไม่แน่ใจว่าช่วงเวลา 1-2 ปี จะเพียงพอสำหรับการวางแผนดังกล่าวหรือไม่ เพราะแผนที่ถูกวางไว้จะต้องถูกคลี่ออกมาใช้งานได้จริง
ซึ่งหลายประเทศที่มีการปฏิรูปได้สำเร็จใช้เวลาหลายสิบปี ขณะที่รัฐธรรมนูญเป็นส่วนเล็กน้อย ดังนั้นถ้าไปติดกับตัวเอง โดยคิดว่ารัฐธรรมนูญเป็นทุกอย่าง ก็อาจเกิดปัญหาหรือทำไม่สำเร็จก็ได้
“สมาชิกสปช.ต้องมองให้ออกว่าหน้าที่สำคัญของเขาคืออะไร และต้องเชื่อมโยงเข้าไปหาประชาชนด้วย อย่าลืมว่าเราชูธงเรื่องการปฏิรูปให้เป็นเรื่องสำคัญของบ้านเมือง เป็นโจทย์ใหญ่ ผมหวังว่า สปช.จะคิดตรงนี้ออก และอย่าหมกมุ่นแต่เรื่องรัฐธรรมนูญ มิฉะนั้นท่านอาจเป็นเหมือนสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.)เสียเอง สรุปกลายเป็นมีผู้ร่างรัฐธรรมนูญคือกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญกับผู้ชำระร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็คือ สปช. แล้วงานปฏิรูปประเทศหายไปไหน”นายเจษฎ์ กล่าว
ทางด้านนายสุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เป็นหนึ่งในรายชื่อผู้ที่คาดว่าจะเป็น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญโควต้า ครม.และคสช. ว่า ตนไม่ทราบเรื่องนี้เลย ทราบเพียงจากข่าวเท่านั้น จึงไม่มีอะไรจะตอบ เมื่อถามถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองามรองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าเคยสอบถามนายสุรพลเป็นการส่วนตัว นายสุรพล กล่าวว่า นายวิษณุพูดคุยกับนักกฎหมายหลายคนอยู่แล้วและเป็นกรรมการด้วยกันอยู่หลายคณะ เมื่อถามต่อว่าถ้ามีการเสนอชื่อนายสุรพลในที่ประชุมร่วมระหว่างครม.กับคสช. ให้เป็นกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญจริง จะยินดีรับตำแหน่งนี้หรือไม่ นายสุรพลกล่าวว่า ตนยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ ขอไปอ่านข่าวดูว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ไม่ควรตอบอะไรในตอนนี้
ขณะที่นายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบันฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) กล่าวว่า ยังไม่ได้เห็นข่าวนี้ ไม่รู้เรื่องหรือรายละเอียดใด ๆ จึงไม่กล้าที่จะให้ความคิดเห็น และไม่มีคนใน ครม.หรือ คสช.มาทาบทามหรือปรึกษาหารือเกี่ยวกับ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ.