เสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับพิธีส่งมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้ทำพิธีส่งมอบตำแหน่ง ผบ.ทบ.คนที่ 38 ให้แก่น้องรักอย่าง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ.คนใหม่ เมื่อวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา
ถือเป็นการสิ้นสุดการทำงานในตำแหน่ง ผบ.ทบ.นาน 4 ปีเต็มของ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างเป็นทางการ ในฐานะ ผบ.ทบ.ที่เผชิญความท้าทายทางการเมือง และเป็น ผบ.ทบ.ที่มากด้วยสีสันคนหนึ่งในประวัติศาสตร์กองทัพบกไทย
สำหรับการก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง ผบ.ทบ.ต่อจาก พล.อ.ประยุทธ์ ของ พล.อ.อุดมเดช ถือว่ามีความท้าทายอย่างยิ่ง
เพราะพล.อ.ประยุทธ์ได้สร้างผลงาน และมาตรฐานในตำแหน่งนี้ไว้สูงมากโดยเฉพาะการทำให้กองทัพบกได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนเป็น "ทหารของประชาชน" และ "ทหารพระราชา" นับตั้งแต่ปลายปี 2553 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ ด้วยตัวตนที่ค่อนข้างเงียบขรึม สุขุมนุ่มลึก ไม่เด็ดขาดดุดันเหมือน พล.อ.ประยุทธ์
ทำให้ พล.อ.อุดมเดช เป็นที่รู้จักของสังคมในวงกว้างไม่มากนัก จึงจัดเป็นนายทหารที่ "โลว์โปรไฟล์" คนหนึ่ง แต่แท้จริงแล้ว พล.อ.อุดมเดช เป็นนายทหารที่มีความเข้มงวด และจริงจังในการทำงานไม่แพ้ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ถือเป็น "พี่" และผู้บังคับบัญชาในสายการบังคับบัญชามาโดยตลอด
ก่อนหน้านี้ พล.อ.อุดมเดช ถือเป็น "เต็งหนึ่ง" ในตำแหน่ง ผบ.ทบ.มาโดยตลอด
โดยได้รับมอบหมายให้รับภารกิจสำคัญอย่างการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งตำแหน่งเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่รับผิดชอบเรื่องการกลั่นกรองวาระงานต่างๆ เพื่อนำเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช.
ส่วนเส้นทางการทำงานตลอดชีวิตราชการนับว่า พล.อ.อุดมเดช เดินตามรอยเท้าของ พล.อ.ประยุทธ์ มาโดยตลอดในฐานะรุ่นน้องบูรพาพยัคฆ์อีกคนหนึ่ง และเคยร่วมรบในสมรภูมิตาพระยา จ.สระแก้ว เคียงบ่าเคียงไหล่มากับ พล.อ.ประยุทธ์
ก่อนจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญในกองทัพบก เช่น แม่ทัพภาคที่ 1, เสนาธิการทหารบก, รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารบก ตามรอยเท้าของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีผิดเพี้ยน !!
ด้านบุคลิกส่วนตัวนั้น พล.อ.อุดมเดช จะมีความสุขุมนุ่มลึกมากกว่า ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นขาบู๊ โผงผาง และดุดัน แต่ความเด็ดขาด
และความแน่วแน่ในการทำงานนั้นทั้งคู่ถอดมาจากพิมพ์เดียวกัน โดยจะเห็นได้จากการแถลงจุดยืนในตำแหน่ง ผบ.ทบ.ในวันแรกที่ พล.อ.อุดมเดช ย้ำว่า จะไม่ยอมเสียดินแดนให้แก่ใครแม้แต่ตารางนิ้วเดียว รวมทั้งจุดยืนในเรื่องของการ "เทิดทูนสถาบัน" ที่ พล.อ.อุดมเดช มีความจงรักภักดี และพร้อมพิทักษ์รักษาสถาบันด้วยชีวิตไม่ต่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่ย้ำจุดยืนในเรื่องนี้มาโดยตลอด !!
ในส่วนของปัญหาที่ท้าทายการทำงานของ พล.อ.อุดมเดช แน่นอนว่า ต้องมีปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เจ้าตัวรับผิดชอบมาโดยตลอดรวมอยู่ด้วย
โดยเฉพาะความชัดเจนเรื่องกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่ต้องปรับกระบวนกันใหม่หลังจากแนวทางการเปิดเจรจา "บนโต๊ะ" ในรัฐบาลชุดที่แล้วไม่บรรลุผล ส่วนมิติของงานด้านความมั่นคงนั้น แม้ว่า พล.อ.อุดมเดช จะเข้ามาเป็น ผบ.ทบ.อย่างเต็มตัว แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ยังมีบทบาทอย่างสูงเรื่องความมั่นคง รวมทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เข้ามาช่วยงาน พล.อ.ประยุทธ์ คุมงานด้านความมั่นคงอย่างเต็มตัวอีกคน
กระนั้น ภารกิจในด้านความมั่นคงของ พล.อ.อุดมเดช ก็ยังถือว่าเต็มไม้เต็มมืออยู่ดี
เพราะนอกจากงานในตำแหน่ง ผบ.ทบ.แล้ว พล.อ.อุดมเดช ยังต้องรับผิดชอบงานในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ช่วยงาน พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร รวมอยู่ด้วย เมื่อพิจารณาจากองคาพยพทางด้านความมั่นคงแล้ว ถือว่ารัฐบาลชุดนี้มี "เอกภาพ" สูงมาก โดยเฉพาะเอกภาพภายในกองทัพ และในกระทรวงกลาโหม ที่มาจากเบ้าหลอมจากแนวรบด้านบูรพาทิศด้วยกันทั้งหมด