พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาสถานการณ์ในภาคใต้ว่า เป็นหน้าที่ของส่วนหน้าของกองทัพภาคที่ 4
พร้อมขับเคลื่อนงานทั้ง 9 ยุทธศาสตร์ พร้อมการปฎิบัติ 5 แนวทาง ซึ่งเป็นความยั่งยืนที่เราได้ปฎิบัติกัน อย่ากังวลเมื่อเปลี่ยนตัว ผบ.ทบ. หรือ แม่ทัพภาค 4 แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เป็นการทำงานตามยุทธศาสตร์ที่ทางกองทัพบกได้วางไว้แล้ว ได้แบ่งขั้นตอนแนวทางออกเป็น 3 แนวทาง คือ
ในระยะที่ 1 ในช่วงที่มีสถานการณ์รุนแรง ที่ทหาร ตำรวจ พลเรือน ทำงานไม่ได้
โดยไม่มีความปลอดภัย 100% จะทำให้สามารถเข้าไปในหมู่บ้าน 136 หมู่บ้าน จาก 2,000 กว่าหมู่บ้าน วันนี้มี ศอ.บต เข้ามาเสริมงานด้านการพัฒนา โดยมีนายภานุ อุทัยรัตน์ ผอ.ศอ.บต เป็นผู้รับผิดชอบ มั่นใจว่าการทำงานมีแนวโน้มที่จะขับเคลื่อนไปด้วยดี ด้วยการบูรณาการเป็นการเอางานทุกงานทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาเกี่ยวกัน ประกอบด้วย 1) กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้ารับผิดชอบ 3 จชต 46 อำเภอ 2) ศอ.บต และ 3) ส่วนราชการปกติ โดยมีงบประมาณทั้ง 3 ส่วนมาสนับสนุนขับเคลื่อนให้งานเดินไปด้วยดี
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการพูดคุยสันติสุขในภาคใต้ว่า ที่ผ่านมาใช้คำพูดไม่ตรง
ตนเกรงว่าจะเกิดความเข้าใจไม่ตรงกันกับโลกภายนอกที่มีทั้ง โอไอซี ยูเอ็นต่างๆ อันนี้ถือเป็นปัญหาภายในของไทย เราไม่ได้สงครามกับใครเป็นแต่เพียงการบังคับใช้ กม. เพื่อให้เกิดความสงบสุข ซึ่งที่ผ่านมาปัญหาในภาคใต้ก็เห็นแล้วว่ามีการใช้อาวุธสงคราม รวมทั้งอาวุธที่ไม่ถูกต้องทำผิด กม.แบบนี้ไม่ได้ อย่างเรื่องผู้มีอิทธิพล ยาเสพติด ก็ต้องเคลียร์กัน วันนี้หลายอย่างเกิดการทับซ้อนกันอยู่ ต้องใช้เวลาในการแกะปัญหาทุกปัญหาออกให้ได้ รวมถึงการปรับในทุกๆเรื่อง
ส่วนในระยะที่ 2 คือการใช้กำลังนอกพื้นที่ เข้ามาทำงานด้วย ซึ่งก่อนที่จะเข้ามาในพื้นที่ก็จะต้องมีการเตรียมการ
เพราะหลายคนก็ทำงานมาหลายปี จะมีเพียงพลทหารเท่านั้นที่จะต้องมีการสับเปลี่ยน ซึ่งความต่อเนื่องในการแก้ปัญหาในระยะนี้น่าจะดีขึ้น รวมถึงการบูรณาการท่าจะดีขึ้นเช่นกัน สัปดาห์หน้ารองอธิบดีฝ่ายความมั่นคงก็จะเดินทางมาตรวจเยี่ยม ศอ.บต. รวมทั้งหน่วยงานในพื้นที่ พร้อมรับฟังปัญหาในการขับเคลื่อนต่อไป ช่วงนี้ตนถือว่าเป็นระยะเวลาที่สำคัญที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนได้
ส่วนระยะที่ 3 เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ก็จะเอากำลังทหารจากกองทัพภาคอื่นๆกลับไปยังที่ตั้งเดิม
เนื่องจากพื้นที่ชายแดนของประเทศมีกว่า 5 พัน กม. ทหารจะต้องดูแลความสงบเรียบร้อย พร้อมเสริมกำลังของกองทัพภาคที่ 4 ให้เข้มแข็ง ทั้งฝ่าย ตำรวจ ทหารและพลเรือนในพื้นที่ ต้องเตรียมการรับพื้นที่ให้ได้
“วันนี้ทางกองทัพบกได้มีการจัดตั้งกองทัพภาคที่ 4 ส่วนหน้าขึ้นมาใหม่ เพื่อดูแลเฉพาะในพื้นที่ 3 จว.โดยขอความร่วมมือจากสื่อช่วยระมัดระวังในการนำเสนอข่าว หาสื่อไปไม่ดี ตปท.นำเอาไปขยายก็จะเกิดความเข้าใจผิดว่าเราไปทำสงครามกับใคร ย้ำบังคับใช้ กม.เท่านั้น เราต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายมากที่สุด นโยบายของตนเองและนโยบายของรัฐไม่เคยปิดกั้นใคร เพียงแต่ขอให้อยู่ภายใต้ กม.ไทยเท่านั้น คนไทยจะต้องอยู่ร่วมกันจะแยกเป็นรัฐหนึ่งรัฐใดไม่ได้นี่คือผืนแผ่นดินไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสไว้แล้วว่าทุกศาสนาจะต้องทำนุบำรุง ทุกศาสนาเป็นคนดีทั้งสิ้น อย่าไปโทษคนมุสลิม หรือโทษคนโน้นคนนี้ เราต้องโทษตัวเราเอง พร้อมแก้ไขทุกมิติ ซึ่งการพูดถึงแนวทางสันติสุขนั้นเราเคยพูดกันมาทุกรัฐบาล ต่อจากนี้ไปจะต้องมีการปรับโครงสร้างให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ต้องไม่ลืมว่าในพื้นที่ภาคใต้จะเกิดปัญหาทางด้านความคิดเป็นหลัก จึงเป็นเรื่องทีจะต้องแก้ปัญหาอย่างละเอียดอ่อน จึงก่อให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างมากมาย มีการใช้สื่อเป็นตัวเปิดให้โลกรู้ว่ารัฐใช้กำลังและอำนาจกับประชาชน วันนี้จึงต้องขอให้สื่อนำเสนอเฉพาะในส่วนที่เป็นจริงและถูกต้อง อย่านำเสนอออกไปในรูปของความขัดแย้ง ไม่ได้บอกให้สื่อเขียนในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่อะไรที่นำเสนอออกไปแล้วสร้างความขัดแย้งก็ขอให้คิดก่อนนำเสนอ บ้านเมืองกำลังเข้าสู่การพัฒนา เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น “
นายก ย้ำมี 7 อาชีพเข้าสู่เออีซี ไทยพร้อม ขอร้องสื่ออย่าพูดเรื่องขบวนการ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ปีหน้าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ เออีซี จะต้องมีการเคลื่อนย้ายคนและทรัพยากร
รวมถึงการแลกเปลี่ยนอาชีพซึ่งกันและกันเพื่อเป็นการพัฒนาในทุกอาชีพ เราไปทำงานบ้านเค้า เค้าก็ส่งแรงงานมาบ้านเรา และหากบ้านเราไม่สงบเค้าจะเข้ามาได้อย่างไร ขอร้องสื่อต่อจากนี้ไปห้ามนำเสนอคำว่า “ ขบวนการ” เพราะนั่นเป็นเรื่องขอคนที่มีความคิดเห็นต่างกันออกไปทำอย่างไรที่จะให้ความคิดกลับมาเพื่อช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองเหลือเวลาเพียงปีเดียวที่ทำให้บ้านเมืองสงบโดยเร็ว และขับเคลื่อนเรื่องนี้ให้เป็นวาระแห่งชาติโดยเร็ว
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปทำพิธีบวงสรวงโดยมีการประกอบพิธีพราหมณ์และประกอบพิธีสงฆ์
เสร็จแล้วประกอบพิธีเปิดแพรคลุมพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ และเปิดแพรคลุมป้ายพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ถวายความเคารพจากนั้น เดินทางไปยังพระราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 เปิดแพรคลุมพระราชานุสาวรีย์ ถวายบังคม ถวายพานราชสักการะ ณ สนามหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 จากนั้นเดินทางกลับ ในเวลา 12.30 น.