จุดชนวนปลด ขิงแก่ เข้าตำรา อำนาจ...ไม่เข้าใครออกใคร

"คงไม่เป็นแรงกดดันอะไร และเป็นเรื่องที่ผมรับฟังและพิจารณา


โดยปกติผมพิจารณาตนเองอยู่ทุกวัน ในช่วงเช้าจะพิจารณาว่าอะไรบ้างที่ทำไม่ดี และหาทางแก้ไข ผมพิจารณาตัวเองอยู่ตลอดเวลา และพร้อมรับฟังความคิดเห็นที่วิพากษ์วิจารณ์ หรือให้ข้อคิดเห็นต่างๆ"

เป็นการเปิดปากครั้งแรกของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ภายหลังผ่านพ้นช่วงโกลาหลมาได้เพียงแค่ข้ามวัน

เพราะตลอดทั้งวันอังคาร ที่ผ่านมา มีเรื่องให้น่าวิตกกังวลต่อเสถียรภาพของเก้าอี้ "นายกรัฐมนตรี" อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


สถานการณ์ถูก "รุกไล่" สอดรับกับการ "รับลูก" ของผู้เกี่ยวข้องอย่างน่าอัศจรรย์ใจ!!!


ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขับไล่ทักษิณเมื่อปีกลาย

มาวันนี้สวมเสื้อตัวใหม่ในนาม "แกนนำสมัชชาประชาชนอีสาน 19 จังหวัด" ออกโรงตะเพิด "พล.อ.สุรยุทธ์" พ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรีโดยด่วน

เป้าหมายพุ่งไปที่ศูนย์กลางอำนาจที่ห่อหุ้ม "รัฐบาลขิงแก่" ในการลงดาบด้วยตัวเอง

ทั้ง "คมช." และ "เสาหลักประชาธิปไตย"

สถานการณ์คงจะไม่รุนแรงเท่าใดนัก หากว่าหนังสือตะเพิดนายกฯ ไม่ได้รับการ "รับลูก" จากศูนย์กลางแห่งอำนาจทั้งสองที่

ซ้ำร้ายก็ตรงที่เป็นการรับลูก "โดยตรง" ของผู้กุมอำนาจ!!!

ไม่ว่าจะเป็นการตั้งใจเปิดฟลอร์รับหนังสืออย่างเป็นทางการของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช.

แตกต่างจากทุกครั้งที่จะมอบหมายให้ พล.ต.วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล เลขานุการกองทัพบก เป็นผู้รับมอบแทน


รวมถึงการออกมารับหนังสือฉบับเดียวกันของ


พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

พร้อมกับแสดงความเห็นเป็นนัย ให้ตีความไปได้ต่างๆ นานา ด้วยคำพูดที่ว่า

"พล.อ.สุรยุทธ์ ท่านเป็นสุภาพบุรุษ เวลาให้ใครรับผิดชอบอะไรแล้ว ท่านก็ให้เกียรติ แต่มาถึงจุดที่ถ้าคนเขายอมรับพวกรัฐมนตรีต่างๆ ไม่ได้ พล.อ.สุรยุทธ์ ก็จะต้องลงไปกระตุ้นมากขึ้น"

ทั้งสองกรณีจึงถูกมองว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้!!!

ไม่นับสถานการณ์ที่ดูเหมือน "บังเอิญ" เมื่อสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติกลุ่มหนึ่งปล่อยข่าวไขก๊อก เพื่อกดดันให้ "พล.อ.สรุยุทธ์" ลาออก ก็เกิดขึ้นวันเดียวกันอีก

มิหนำซ้ำยังเกิดเหตุการณ์ "แปลกแต่จริง" เมื่อจู่ๆ เกิดรายการถอยทะเบียนรถหมายเลข "ษห 3835" ซึ่งเป็นหมายเลขประจำรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ "ทักษิณ ชินวัตร" ออกมาเพ่นพ่านแถวทำเนียบรัฐบาล

สำคัญตรงที่เป็นพาหนะที่พา "พล.อ.สนธิ" มาร่วมประชุม ครม.ซะด้วย

ปรากฏการณ์ที่ว่านี้จึงยิ่งทำให้ "ข่าวลือ" ดูมีน้ำหนักขึ้นมาทันตา

โดยเฉพาะการลือกันหนาหูว่า "ประธาน คมช." อาจพลิกบทมาเป็นผู้นำฝ่ายบริหารซะเอง


หลังจากทดลองนั่งหัวโต๊ะคู่กับ "พล.อ.สุรยุทธ์" ในการประชุม ครม.มาได้ 3 หนเข้าให้แล้ว!!!


แต่อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ลือลั่นสนั่นเมืองถึงกระแสปลด "นายกฯ ขิงแก่" ก็ถูกดับกระแสลงทันทีในเช้าวันรุ่งขึ้น

เมื่อปรากฏภาพการจับเข่าคุยนานราวชั่วโมงระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์-พล.อ.สนธิ-พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม โดยมี นิตย์ พิบูลสงคราม รมว.การต่างประเทศ เข้าร่วมวงด้วย

ตามด้วยการเดินทางเข้า "มูลนิธิรัฐบุรุษ" ของ "พล.อ.สุรยุทธ์" เพื่อประชุมกรรมการในฐานะประธานมูลนิธิ

ก่อนจะเปิดปากเล่าให้ฟังถึงการหารือร่วมกันว่า มีหลายเรื่อง โดยเฉพาะเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านต่างประเทศ

พร้อมกับสยบข่าวปลดนายกฯ ด้วยประโยคที่ว่า...

"ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ผมได้พูดคุยกับประธาน คมช. ซึ่งท่านก็บอกว่ายังไม่ได้พิจารณา"

อย่างไรก็ดี แม้สถานการณ์อีหลักอีเหลื่อระหว่างรัฐบาลและ คมช.ดูจะถูกจับตามอง และตั้งคำถามถึงความไม่ลงรอยกันหนาหู

แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่างานนี้ ย่อมต้องมีที่มาที่ไปและเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ไม่อาจมองข้าม!


ประเมินได้ในสองนัยก็คือ


หนึ่ง...เป็นความพยายาม "เสี้ยม" ให้เกิดความหวาดระแวงและแตกคอกันเองระหว่างรัฐบาลและ คมช.ของกลุ่มผู้ไม่ได้รับประโยชน์ที่คิดว่าตัวเองควรได้

ผ่านช่องทางการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ รวมกับตัวแทนที่มีเครือข่ายอยู่ใน สนช.และสายอดีตพันธมิตร

สอง...เป็นการสบช่องของฝ่ายผู้กุมอำนาจใน คมช.ที่ต้องการต่ออายุก่อนที่จะหมดวาระลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

ขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็นการ "รับงาน" ประสานตัวแทนขั้วอำนาจเก่า

โยงใยไปถึงการตั้งพรรคการเมือง และรัฐบาลใหม่ภายหลังการเลือกตั้งที่เตรียมผลักดัน สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นนายกฯ

เพราะล่วงรู้มาว่า "ขั้วอำนาจปัจจุบัน" มีแนวโน้มหนุนหลังอดีตผู้นำประชาธิปัตย์ ชวน หลีกภัย ขึ้นสืบอำนาจต่อ ด้วยหวังล้างบางระบอบทักษิณให้สิ้นซาก


การเร่งข้อเสนอ "ปลดนายกฯ" จึงเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม


แต่ไม่ว่าต้นสายปลายเหตุจะมาด้วยสมมติฐานอะไรก็ตามที

ข้อที่น่าคิดอยู่อย่างหนึ่งก็คือ การคิดจะ "เปลี่ยนม้ากลางศึก" ในยามนี้นั้นไม่ง่ายนัก

กับเวลาที่เหลืออยู่อีกเพียง 6 เดือนเศษ

บวกกับบทเรียนในอดีตที่หัวหน้าคณะรัฐประหารคิดการใหญ่ ด้วยการก้าวขึ้นสู่อำนาจด้วยตัวเอง

มันพินาศให้เห็นกับตามานักต่อนักแล้วมิใช่หรือ???



ขอขอบคุณ : ข้อมูลข่าวที่มีคุณภาพ จาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์