หมอประเวศแนะภารกิจคนไทย หลังไม่ลาออก-ไม่พระราชทาน
หมอประเวศน.ประเวศ ระบุ "ทักษิณ" มี 2 บุคลิก แบบสุด ๆ แนะถึงเวลาสละละวางจากอำนาจแล้วเดินทางธรรม ชี้ต้องมีพลังเพียงพอที่จะออกจากวิกฤตการณ์คลื่นลูกที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของคนไทย
วันที่ 31 มี.ค. นายแพทย์ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ได้เขียนบทความเรื่อง ภารกิจของคนไทยในสถานการณ์ ไม่ลาออก - ไม่พระราชทาน เผยแพร่ในเว็บไซต์ www.prachatai.com เมื่อวันที่ 31มี.ค.ที่ผ่านมาโดยมีรายละเอียดว่า
1. สถานการณ์ไม่ลาออก - ไม่พระราชทาน การที่มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกก็ดี การถวายฎีกาหรือแสดงความคิดเห็นของรัฐบาลพระราชทานก็ดี มาบัดนี้ต้องยอมรับความจริงว่าสถานการณ์ขณะนี้คือ นายกรัฐมนตรีไม่ลาออก และพระเจ้าอยู่หัวก็ไม่ทรงอยู่ในฐานะ ในความเป็นจริงของปัจจุบัน ที่จะพระราชทานนายกรัฐมนตรีคนกลาง ในขณะที่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งอยู่ ที่จริงทุกฝ่ายก็ตกอยู่ในความบีบคั้นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเรียกร้องฝ่ายถวายฎีกา ฝ่ายนายกรัฐมนตรี หรือแม้แต่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอง
อะไรที่เกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้น ก็มีเหตุผล หรือเหตุปัจจัยให้เป็นเช่นนั้นเอง ที่เรียกว่า ความเป็นเช่นนั้นเอง หรือ ตถตา หรือความไม่เป็นอย่างอื่น การเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเองคือปัญญา คนไทยยังมีภารกิจร่วมกันที่จะต้องฝ่าฟันไปอีกมาก การมีสติปัญญาจะเป็นพลังเพื่ออนาคต ความหงุดหงิดผิดหวังโกรธแค้นจะบั่นทอน เราควรมีปัญญาเข้าใจสถานการณ์ความเป็นจริงของปัจจุบัน เห็นความเป็นไปในอนาคต และกำหนดภารกิจที่สอดคล้องและถูกต้อง
2. ทำอะไรในการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน แม้การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน จะมีมายาคติอยู่มาก ขาดความเป็นธรรม และคงแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมืองไม่ได้ แต่เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง และการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงทุกฝ่ายควรกำหนดท่าทีที่ถูกต้องดังนี้
(1) ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งไม่ควรจะขัดขวางการเลือกตั้ง เพราะจะเป็นเป้าต่อการถูกกล่าวหาได้ง่าย
(2) พรรค ทรท. ซึ่งมีเงินมากและถืออำนาจรัฐต้องไม่โกงการเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อครั้งที่แล้วมีการกล่าวหาว่ารัฐบาลใช้กลไกของรัฐเอาเปรียบคู่ต่อสู้ทุกรูปแบบ และว่าเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกที่สุด ถ้าคราวนี้ยังทำให้การเลือกตั้งสกปรก กระแสความไม่พอใจและต่อต้านรัฐบาลจะเพิ่มขึ้น ในการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ.2500 การเอาเปรียบคู่ต่อสู้โดยพรรครัฐบาลก่อให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาล จนจอมพล ป.พิบูลสงครามต้องหมดอำนาจลงและลี้ภัยการเมือง
(3) ทุกฝ่ายที่ต่อสู้เพื่อความถูกต้องเป็นธรรม ต้องจับตาตรวจสอบการทุจริตการเลือกตั้งทุกวิถีทาง และนำมาตีแผ่
(4) ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง คนที่รักทักษิณก็โหวตเลือก ทรท. คนที่ต่อต้านระบอบทักษิณ ก็ต้องไปลงคะแนนมาก ๆ และทำเครื่องหมายตรงไม่เลือกผู้ใด เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ว่าไม่ต้องการ ทรท.
ที่จริงคนที่รักทักษิณอย่างแท้จริงก็อาจโหวตเชิงยุทธศาสตร์ ที่อังกฤษหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง มีการเลือกตั้งทั่วไป คนอังกฤษรักเชอร์ชิลมาก แต่โหวตไม่เอาเชอร์ชิล เพราะรู้ว่าถ้าเชอร์ชิลกลับมา อังกฤษจะต้องไปทำสงครามกับอาณานิคมต่อไป เรียกว่าคนอังกฤษโหวตเชิงยุทธศาสตร์ ถ้าคนไทยโหวตเลือกทักษิณ ก็คงจะต้องไปทำสงครามกันต่อไป คนที่รู้พอจึงควรโหวตเชิงยุทธศาสตร์ แม้มีความเป็นไปได้น้อย
3. หลังเลือกตั้งทักษิณเป็นนายกฯ ได้ แต่ปกครองไม่ได้
หลังเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน คงจะเกิดความวุ่นวาย ตีความทางกฎหมายว่าเปิดประชุมสภาได้หรือเปิดไม่ได้ มีการฟ้องร้อง มีการเลือกตั้งใหม่เป็นบางส่วน จะวุ่นวายฝุ่นตลบ กว่าจะประชุมสภา และตั้งรัฐบาลได้ ทรท. คงจะได้เสียงข้างมาก เพราะเลือกตั้งพรรคเดียว และคุณทักษิณได้รับเลือกกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ตามที่ประกาศไว้
แต่คำกล่าวหาฉกรรจ์เก่า ๆ ยังอยู่ ความไม่เชื่อถือไว้วางใจในหมู่คนชั้นกลางยังอยู่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังอยู่ การต่อต้านรัฐบาล อารยะขัดขืน (Civil disobedience) จะแพร่ระบาด รัฐบาลจะไม่สามารถบริหารจัดการประเทศได้
มีผู้พยากรณ์คุณทักษิณหลังเลือกตั้งไว้เป็นสองนัย คือ
(1) เพราะชนะเลือกตั้งมาจึงจะเหิมเกริม และใช้อำนาจมากขึ้น ในกรณีนี้การนองเลือดหนีไม่พ้น และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ก็ต้องพ้นตำแหน่งอยู่ดี
(2) จะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยภูมิใจว่าสละสิทธิในฐานะผู้ชนะ ไม่ใช่ถูกกดดันให้ออกจาก ตำแหน่งในฐานะผู้แพ้ ซึ่งในความเป็นจริงทักษิณยอมไม่ได้ แล้วส่งเสริมให้มีการปฏิรูปการเมือง
4. คำแนะนำสำหรับคุณทักษิณ
คุณทักษิณมีบุคลิกผสมทั้งดีและร้าย ซึ่งใคร ๆ ก็มี แต่ไม่มีขนาดสุด ๆ เท่าคุณทักษิณ
คุณทักษิณต้องการมีอำนาจเหนือคนอื่น ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงที่สุดในแผ่นดินนี้ ไม่มีใครมีอำนาจทางการเมืองเท่า และไม่มีใครโค่นล้มลงได้ ทั้ง ๆ ที่มีคนไม่ชอบอยู่แยะ ดังที่เห็น
ถ้าการมีอำนาจเป็นที่พึงพอใจของคุณทักษิณ คุณทักษิณก็ควรจะเต็มอิ่มแล้ว การมีอำนาจอีกต่อไปหรือมากขึ้นจะทำลายคุณทักษิณเอง และก่อให้เกิดจลาจลในบ้านเมือง ไม่สามารถแก้ปัญหาบ้านเมืองได้
ก้าวต่อไปของคุณทักษิณ คือ การสละ ไม่ใช่การเอา
เจ้าชายสิทธัตถะ สละทุกสิ่งทุกอย่างจึงพบธรรม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อโลกยั่งยืนมาจนทุกวันนี้ ในขณะที่จักรพรรดิผู้ทรงอำนาจจำนวนมากมายหายสาบสูญไปในประวัติศาสตร์แห่งกาลเวลา
คุณทักษิณ ถึงเวลาแล้วที่จะสละละวางจากอำนาจแล้วเดินทางธรรม ถ้าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวตน (Transformation) คุณจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศ และต่อโลกองคุลีมานผู้เคยฆ่าคนเปลี่ยนแปลงเป็นพระอรหันต์ได้ พระเจ้าอโศกมหาราชเปลี่ยนแปลงจากผู้กระหายเลือดเป็นองค์ธรรมอุปถัมภกผู้ยิ่งใหญ่ได้ฉันใด คุณทักษิณ คุณก็เปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานได้ฉันนั้น แต่ถ้าไม่ได้ ครั้งนี้แผ่นดินจะนองเลือด และคุณก็ต้องไปอยู่ดี มีแต่ ตายเสียก่อนตาย เท่านั้นคุณจึงจะรอด
5. การปฏิรูปการเมืองโดยรอบด้าน
วิกฤตการณ์การเมืองคราวนี้ มีประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่เกิดความเห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่าย ที่จะต้องมีการปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่ ตามปรกติการปฏิรูปการเมืองเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าประเทศไม่วิกฤต เช่นแพ้สงคราม หรือเกิดสงครามกลางเมือง วิกฤตการณ์ทางการเมืองคราวนี้ที่หวิด ๆ จะเกิดจลาจล ทำให้ทุกฝ่ายในสังคมตื่นตัวและรู้แล้วว่าถ้าขาดความถูกต้อง บ้านเมืองเจริญไม่ได้ หน้าต่างแห่งโอกาสจึงเปิดให้เกิดการปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่ สังคมไทยจึงควรใช้โอกาสนี้ร่วมกันทำให้ดีที่สุดโดยรอบด้าน ให้การปฏิรูปการเมืองคราวนี้ต้องเป็นความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงเพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เท่านั้นต้องสร้างความถูกต้องเป็นธรรมในทุกด้านให้ได้จริง ๆ ทุกฝ่ายต้องเข้ามามีส่วนร่วมคิด ว่าอยากเห็นอนาคตของประเทศไทยเป็นอย่างไร อย่างน้อยน่าจะมีประเด็นต่างๆ เหล่านี้ คือ
(1) การเมืองไม่ได้มีแต่การเมืองของนักการเมืองเท่านั้น แต่มีการเมืองของพลเมือง เป็นการเมืองที่ใหญ่กว่าการเมืองของนักการเมือง
(2) ประชาธิปไตยไม่ได้มีแต่การเลือกตั้งเท่านั้น
(3) ประชาธิปไตยเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่กระจายอำนาจไปสู่ชุมชนท้องถิ่นอย่างแท้จริง
(4) ต้องป้องกันธนกิจการเมืองไม่ให้เกิดขึ้นอีก
(5) องค์กรอิสระต้องไม่ถูกครอบงำได้
(6) ศาลต้องอิสระ ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องอิสระ ระบบสื่อสารต้องอิสระ แน่นอนว่าเป็นความอิสระที่ตรวจสอบได้
(7) ระบบราชการไม่ถูกครอบงำโดยฝ่ายการเมืองจนหมดศักดิ์ศรีและศักยภาพอย่างที่แล้วมา ต้องสร้างรอยต่อระหว่างระบบการเมืองกับระบบราชการใหม่
(8) ระบบธุรกิจการเงินต้องมีธรรมาภิบาล โปร่งใส มีอุดมคติเพื่อสังคมไทย ไม่ทำอะไรที่ล่อแหลมต่อการขายชาติขายแผ่นดิน และต้องไม่เข้ามายึดอำนาจทางการเมืองอีก
(9) ระบบงบประมาณที่จะสนับสนุนการเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง ในสังคมสมัยใหม่ที่สลับซับซ้อนการใช้อำนาจแก้ปัญหายาก ๆ ไม่ได้ รัฐบาลทักษิณเป็นตัวอย่างให้เห็นเป็นอย่างดี ว่ามีอำนาจมากแต่แก้ปัญหายาก ๆ ไม่ได้ กลับตกเข้าสู่ โครงสร้างมรณะ ตามที่ผมพยากรณ์ไว้แต่ต้น กุญแจของการพัฒนาประเทศคือการเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง
6. การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (Transformation) เพื่อเอาชนะวิกฤตการณ์คลื่นลูกที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ผมเขียนเรื่องคลื่นวิกฤตการณ์ลูกที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์มา 10 กว่าปีแล้ว ว่าเป็นวิกฤตการณ์ที่ยากกว่าคลื่นวิกฤตการณ์ 3 ลูกที่แล้ว เพราะเราเผชิญกับความซับซ้อนจนไม่รู้ว่าศัตรูคือใคร กลายเป็นวิกฤตการณ์แห่งการทำลายตนเอง วิกฤตการณ์ทางการเมืองปัจจุบันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิกฤตการณ์ที่ใหญ่กว่านั้น
แค่วิกฤตการณ์ทางการเมืองซึ่งเล็กกว่าวิกฤตการณ์ใหญ่ สถาบันในสังคมทั้งหมดยังดูไร้ศักยภาพที่จะแก้ปัญหา ฉะนั้นไม่มีทางเลยที่ระบบการเมือง ระบบราชการ ระบบการศึกษา ระบบธุรกิจ และระบบการพระศาสนา อย่างที่เป็นอยู่ จะมีพลังเพียงพอที่จะนำสังคมไทยออกจากวิกฤติการณ์ใหญ่ในปัจจุบัน
เราต้องการพลังงานทางสังคม (social energy) ที่ใหญ่ ประดุจพลังนิวเคลียร์ทางสังคม ที่จะก้าวข้ามวิกฤตการณ์ใหญ่ในปัจจุบัน
องค์กรทั้ง 5 ประเภท คือ การเมือง ราชการ การศึกษา ธุรกิจ และการพระศาสนา ล้วนเป็นองค์กรทางดิ่งที่ใช้อำนาจ จึงไม่มีพลังทางจิตสำนึก พลังทางสังคม และพลังแห่งการเรียนรู้ พอที่จะเผชิญกับสภาวะวิกฤตอันซับซ้อนพลังงานทางสังคมขนาดใหญ่ที่ว่า ไม่เกิดจากการทำลายองค์กรเก่า ๆ แต่จะเป็นพลังงานทางสังคมใหม่ ที่มาเชื่อมโยงถักทอกับโครงสร้างเก่า ทำให้ทั้งหมดเกิดพลังใหญ่
พลังงานทางสังคมใหม่เกิดจากจิตสำนึกใหม่ของคนไทยทุกคน และการถักทอโครงสร้างใหม่ ที่แล้วมาคนไทยและสังคมไทยถูกสะกดให้ดูถูกตัวเอง และอยู่ในโครงสร้างทางดิ่งที่ทอนพลัง ทำให้สังคมไทยไม่มีพลังที่จะเผชิญวิกฤตใหม่ ๆ ตรงนี้อาจเข้าใจยาก ขอให้ศึกษา ช้าๆ ลึกๆ
การเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน คือศีลธรรมพื้นฐานของสังคม เราขาดศีลธรรมนี้จึงขาดพลังทางสังคมการจะสร้างพลังใหญ่ทางสังคมคือการสร้างศีลธรรมพื้นฐานแห่งการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคน ตรงนี้ดูเหมือนจะยาก แต่ไม่ยาก เป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา ถ้าเราเข้าใจความรู้ ๒ ประเภท และจัดความสัมพันธ์ของความรู้ 2 ประเภทเสียใหม่ นั่นคือ
(1) ความรู้ในตัวคน ที่ได้มาจากการทำงานและประสบการณ์ชีวิต เป็นความรู้ที่มีฐานอยู่ในวิถีชีวิตร่วมกันหรือวัฒนธรรม ทุกคนมีความรู้ในตัว นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมแม่จึงเป็นครูที่สำคัญสุดของเราทุกคน โดยไม่คำนึงถึงระดับการศึกษาของท่าน เพราะท่านมีความรู้ในตัว
(2) ความรู้ในตำรา เกิดจากการรวบรวม การแปล การวิจัย การวิเคราะห์สังเคราะห์ความรู้ น้อยคนที่รู้และเชี่ยวชาญความรู้ในตำรา ถ้าเราเอาความรู้ในตำราเป็นตัวตั้ง คนส่วนน้อยจะมีเกียรติคนส่วนใหญ่ไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีศักยภาพ การจะพลิกให้คนทั้งหมดมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีศักยภาพ คือการเคารพความรู้ในตัวคน คนไทยทุกคนควรจะตระหนักรู้ว่าท่านมีความรู้ในตัวที่ได้มาจากการทำงาน และประสบการณ์ชีวิต ความรู้ในตัวท่านมีค่ามากท่านมีศักดิ์ศรีและคุณค่าแห่งความเป็นคน จิตสำนึกใหม่ของคนไทยทุกคนจะปลดปล่อยทุกคนไปสู่อิสรภาพ ศักยภาพ และความสุข
คนไทยทุกคนมีสิทธิที่จะรวมกลุ่ม เป็นกลุ่มทำงานในเรื่องต่าง ๆ อันหลากหลายเต็มสังคมและมีสิทธิที่จะเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย ไม่ใช่ถูกกักขังอยู่เฉพาะในองค์กรทางดิ่งที่ตนสังกัดเป็นทางการ
โดยวิธีนี้จะเกิดโครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า บกค
บ =บุคคลแต่ละคนที่มีจิตสำนึกใหม่ในศักดิ์ศรีและศักยภาพในความเป็นคนของตน
ก =กลุ่ม คือ การรวมกลุ่มตามความสมัครใจอันหลากหลาย
ค =เครือข่าย มีการเชื่อมโยงระหว่างบุคคล กลุ่ม องค์กรทั้งเก่าและใหม่ ในทุกพื้นที่ ทุกองค์กร และทุกเรื่อง
บกค จะเป็นโครงสร้างใหม่ ที่ไม่ได้ทำลายของเก่า แต่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (Transformation) ทั้งในระดับบุคคล ระดับองค์กร และระดับสังคม ต่อเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในทุกระดับเท่านั้น สังคมจึงจะมีพลังเพียงพอที่จะออกจากวิกฤตการณ์คลื่นลูกที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของคนไทย