ย้อนอดีต "สนธิ ลิ้มทองกุล" ลาบวชหลังรปห.2549 หรือจะเป็นอนาคตของ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ?
หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ตัดสินใจออกบวชที่วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2550 โดยได้รับฉายาทางธรรมว่า "สนฺตจิตฺโต" ซึ่งแปลว่า ผู้มีจิตสงบ
ย้อนอดีต สนธิ ลิ้มทองกุล ลาบวชหลังรปห.2549
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวการเมือง ย้อนอดีต สนธิ ลิ้มทองกุล ลาบวชหลังรปห.2549
มีการให้เหตุผลว่าการบวชดังกล่าวเป็นไปตามคำสัญญาที่นายสนธิให้ไว้กับหลวงพ่อญาท่านเจ้าอาวาสวัดป่าสามัคคีพัฒนาราม จ.หนองบัวลำภู ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่แกนนำพันธมิตรฯ ให้ความเคารพนับถือ
หลังจากนั้น ราวหนึ่งเดือนต่อมา นายสนธิที่เพิ่งลาสิกขาบท ได้ต่อสายเข้ามาในรายการ "ยามเฝ้าแผ่นดิน" ทางเอเอสทีวี ในวันที่ 17 ธันวาคม 2550
ในครั้งนั้น นายสนธิกล่าวเปิดใจ หลังจากพักบทบาททางการเมืองไปชั่วระยะหนึ่งว่า
"ผมไม่ได้หวั่นไหว แต่ที่เงียบไป ก็เพราะว่า ผมมีความรู้สึกว่าเบื่อหน่ายกับลักษณะความขัดแย้ง ที่ไม่มีวันจบสิ้น ทุกวันนี้ ผมประกาศกับพี่น้องว่าถอยแล้วนะ เพราะไม่อยากจะเป็นกันชนระหว่างทักษิณ กับ คมช.และรัฐบาลสุรยุทธ์
"ตอนที่บวชอยู่ ผมพูดชัดว่า ตอนนี้ผมได้สติคืนมามาก ผมรู้ว่าวันที่ 19 กันยาฯ ผมพลาด ที่เมื่อมีการยึดอำนาจแล้ว ผมยังเข้าไปยุ่มย่าม เมื่อทักษิณออกไปแล้ว ผมน่าจะยุติภารกิจ แต่เมื่อผมเข้าไปยุ่มย่าม ทำให้ผมตกเป็นเครื่องมือของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กับทหาร ในการไปสู้กับทักษิณ
"ถ้าในวันนั้น ผมถอยออกมา พ่อแม่พี่น้องอาจจะไม่พอใจผม แต่ถ้าผมถอย แล้วมาจนถึงวันนี้ พ่อแม่พี่น้องจะเข้าใจว่าทำไมผมถอย เพราะถ้าผมถอยออกมา ตั้งแต่วันนั้นก็จะเป็นการปะทะระหว่าง คมช.กับทักษิณ ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ผมเพิ่งรู้ตัวเมื่อ 2-3 เดือนก่อน เมื่อความขัดแย้งมันไม่จบไม่สิ้น !
"ผมยังยืนยันเรื่องความถูกผิด ถ้าจะสมานฉันท์ได้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องกลับมารับโทษทัณฑ์ ทักษิณสามารถกลับเข้ามาประเทศไทยได้ตลอดเวลา แต่วันนี้ทักษิณไม่มา เพราะกลัวจะถูกดำเนินคดี ก็ใช้วิชามารทางการเมืองให้พรรคพวกตัวเองชนะเลือกตั้ง เพื่อจะเข้ามายุบ คตส. เปลี่ยน ป.ป.ช. เพื่อยกเลิกความผิดตัวเอง
"ขณะที่ พล.อ.สุรยุทธ์เอง ก็มัวแต่หน่อมแน้ม วันข้างหน้าถ้าประเทศไทยเป็นอะไรไป คนๆ แรกที่ต้องรับผิดชอบคือ พล.อ.สุรยุทธ์ คนที่ 2 คือ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผมไปบวชครั้งนี้ ทำให้ผมเบื่อความหลง เบื่อโมหะของคน ผมจึงถอยออกมา ผมกำหนดวิถีชีวิตของผมแล้วว่าจะไปอย่างไร ผมเตรียมตัวจะแถลงในเดือนมกราคมปีหน้า แต่เมื่อผมเพิ่งสึกออกมา จะให้ผมกระโดดโลดเต้น ฟาดฟันกับคนโน้นคนนี้ก็กระไรอยู่ เพราะผมเพิ่งได้รับบทเรียนจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์มา
"ผมเชื่อว่าถึงอย่างไร ทักษิณต้องรับกรรม มันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะโทรไปหาทักษิณ มีแต่ทักษิณจะบอกผ่านมาทางเสี่ยเพ้ง (นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล) คุณไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์ศานต์ และคุณพันเทพ จำรัสโรมรัน ติดต่อมาที่ผมว่า คุณทักษิณอยากเจอผมที่เมืองนอก ประเทศไหนก็ได้ จะได้พูดคุยกัน ผมก็เลยฝากคุณพันเทพกลับไปว่า ไม่ไปหรอก ไม่มีเหตุผลที่ผมต้องไป"
นายสนธิ กล่าวต่อว่า อีกด้านหนึ่ง สื่อในเครื่อผู้จัดการทั้งหนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ และเอเอสทีวี ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนจุดยืน ถ้าโทร.ไปขอขมาแล้วทำไมยังคงวิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นถ้าจะเสียใจ ก็เสียใจอยู่เรื่องเดียวว่า เพื่อนฝูงพี่น้องประชาชนน่าจะหนักแน่นกว่านี้ให้มากๆ
"อยากให้พี่น้องสบายใจ ที่ผมเงียบไป เพราะผมเบื่อกับเรื่องเก่าๆ เบื่อ คมช. เบื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ แล้วผมจะประกาศแนวทางใหม่ของผมในเดือนมกราคมปีหน้า" นายสนธิกล่าว
ภายหลังพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้งในเดือนธันวาคม 2550 นายสนธิ และกลุ่มพันธมิตร ก็เริ่มรวมตัวเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้ง จนนำไปสู่พฤติการณ์ "ยึดสนามบิน" อันลือลั่น ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม 2551
หลังพรรคพลังประชาชนหมดอำนาจลงอย่างเด็ดขาด ด้วยกระบวนการตุลาการภิวัตน์ พรรคประชาธิปัตย์ก็กลายเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่วนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง
วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552 เวลาประมาณ 05.45 น. ขณะที่นายสนธิ กำลังเดินทางโดยรถส่วนตัว ไปยังสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี
เพื่อจัดรายการในตอนเช้า มีกลุ่มคนไม่ทราบจำนวน ขับรถอีซุซุ ดีแม็กซ์ 2 ประตู สีบรอนซ์ทอง ตามประกบ และได้ใช้อาวุธปืนยิงล้อรถของนายสนธิ ทำให้ยางล้อแตก แล้วใช้อาวุธปืนเอเค 47 เอชเค 33 เอ็ม 16 และเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 รัวยิงกระหน่ำเข้าไปในรถของนายสนธิ ก่อนขับรถหนีไป เจ้าหน้าที่นับปลอกกระสุนปืนได้ 84 นัด และลูกระเบิดเอ็ม 79 ขนาด 40 มม. ที่ยังไม่ระเบิด 1 นัด
เพื่อจัดรายการในตอนเช้า มีกลุ่มคนไม่ทราบจำนวน ขับรถอีซุซุ ดีแม็กซ์ 2 ประตู สีบรอนซ์ทอง ตามประกบ และได้ใช้อาวุธปืนยิงล้อรถของนายสนธิ ทำให้ยางล้อแตก แล้วใช้อาวุธปืนเอเค 47 เอชเค 33 เอ็ม 16 และเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 รัวยิงกระหน่ำเข้าไปในรถของนายสนธิ ก่อนขับรถหนีไป เจ้าหน้าที่นับปลอกกระสุนปืนได้ 84 นัด และลูกระเบิดเอ็ม 79 ขนาด 40 มม. ที่ยังไม่ระเบิด 1 นัด
นายสนธิ ถูกกระสุนปืนบริเวณคิ้ว, หน้าอก และแขน แต่อาการไม่บาดเจ็บมากนัก
ทว่า หลังจากนั้น บทบาททางการเมืองในการนำมวลชนของนายสนธิ และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ไม่เคยขึ้นไปถึงจุดสูงสุด เหมือนช่วงปี 2548-49 หรือปี 2551 ได้อีกเลย
"พระสุเทพ ปภากโร" ในวันนี้ จะมีชะตากรรมเหมือนทิดสนธิ เมื่อวันวานหรือไม่???