สุรยุทธ์ 1/5 ส่งท้าย ปิดฉากภารกิจไล่บี้ แม้ว

การปรับ ครม.ครั้งล่าสุดของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่พลิกโผการคาดการณ์ของวงการการเมืองยิ่งนัก เพราะ "บิ๊กแอ้ด" ได้เติม รมช.เข้าไปอีก 3 คนจนเต็มเพดานแล้ว จากโผเดิมที่พลิกไปพลิกมาอยู่หลายตลบ

ทำให้เชื่อได้ว่าน่าจะเป็นการปรับ ครม. "ครั้งสุดท้าย" ของ ครม.ขิงแก่แล้ว เพราะการทำงานสไตล์ "บิ๊กแอ้ด" นั้น จะไม่มีการปรับใครออกเพราะถือว่าไว้วางใจแล้ว

แม้บางคนจะ "สร้างปัญหา" มากกว่าสร้างผลงานก็ตาม !!!

อย่างไรก็ดีในเมื่อตั้งไปแล้วจนครบ ก็ต้องรีบแสดงผลงานออกมาให้เร็ว และควรต้องขันนอตกันให้เครื่องฟิตเต็มที่

และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องลงพื้นที่พบประชาชนให้ทั่วถึงทุกภูมิภาคตามคำสั่งนายกฯ

ที่เข้าไปเสริมงานที่ยังล่าช้า ไม่ทันการณ์

แต่ รมต.หน้าใหม่-รุ่นใหญ่ จะสอบผ่านและโดนใจประชาชนหรือไม่นั้น คงต้องรอพิสูจน์ผลงานที่ต้องเร่งเครื่องโชว์ฝีมือแบบสุดๆ

หากดูที่เหตุ อันเป็นที่มาของการตั้งบุคคลทั้งสามเข้ามาทำงานนั้นอาจสรุปได้ว่าเป็นไปเพื่อ "ภารกิจเฉพาะ"

พล.ต.ท.ธีรวุฒิ บุตรศรีภูมิ อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร.และอดีต ผบช.ภาค 7 และภาค 9 จะเข้ามาขับเคลื่อนภารกิจดูแลการเลือกตั้ง และอาจดูแลภาคใต้พ่วงไปด้วยในตำแหน่ง รมช.มหาดไทย

ก่อนหน้านี้ "พล.ต.ท.ธีรวุฒิ" เคยไปช่วยงาน กกต.ยุคแรกปราบปรามการทุจริตเลือกตั้งในเขตภาคกลางอย่างมากมาย

งานของ" พล.ต.ท.ธีรวุฒิ" รวมถึงการช่วยดูแลงานมวลชน ที่อาจจะเข้ามาชุมนุมต้านรัฐบาลในช่วงเร็วๆ นี้ โดยอาศัยการประสานตำรวจ

เพราะหากจะปล่อยให้ทหารเข้าดูแลเมืองหลวงนั้น ภาพที่ออกไปปรากฏต่อสายตาชาวโลกคงจะไม่ดีนัก

น.พ.วัลลภ ไทยเหนือ อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุขและอดีต ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคประชาธิปัตย์ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของแพทย์ชนบท

ภารกิจของ รมช.สาธารณสุขคนใหม่นั้น มองกันว่าจะเข้าไปช่วย คตส.งัดหลักฐานเด็ดมาเชือดคีย์แมนพรรค

ไทยรักไทยบางคนโดยเฉพาะ

ในข้อหาเกี่ยวเนื่องกับ "ทุจริต" !!!

ที่สำคัญน่าจะเข้าไปเป็นตัวกลางในกระทรวงท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังมีปัญหาขัดแย้งกับหลายฝ่าย

ส่วน ณัฐ อินทรปาณ อดีตรองผู้ว่าฯ กกท. ก็จะเป็น รมช.การท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อลงไปดูแลงานด้านการประสานกับสมาคมกีฬาต่างๆ

เพราะในช่วงปีนี้ ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาหลักๆ สามรายการคือ การแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลก การแข่งขันฟุตบอลเอเชี่ยนคัพและการแข่งขันกีฬาซีเกมส์

ภารกิจเหล่านี้ คือ สิ่งที่นายกฯ น่าจะวางไว้ให้ "3 ขุนพล" เข้าไปดำเนินการหลังการเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนในวันที่ 8 พฤษภาคมนี้ และจะเริ่มทำงานทันทีในวันที่ 9 พฤษภาคม

ใช้เวลานานพอควรในการพิจารณาบุคคลเข้ามาร่วมขับเคลื่อนงานที่เหลืออยู่ในรอบ 6 เดือนหลัง

ประเด็นสำคัญคือการตรวจสอบคุณสมบัติของรัฐมนตรีใหม่ว่ามีมลทินใดติดตัวมาหรือไม่

เพราะ "บิ๊กแอ้ด" ไม่อยากให้เกิดรอยด่างดำใดๆ ให้เกิดขึ้นในรัฐนาวาลำนี้

ดูเผินๆ จึงดูเหมือนว่าจะเข้าตำรา "ช้าแต่ชัวร์"

เดิมทีนั้นมีการวิเคราะห์กันมากว่า "นายกฯ สุรยุทธ์" จะปรับเพิ่มรองนายกฯ หรือ รมช.กลาโหม รวมทั้ง รมช.มหาดไทย เพื่อเข้ามาดูแลงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะม็อบต่างๆ ที่กำลังเรียกร้องประชาธิปไตย และยังมีภารกิจเสริมคืออาจจะไปดูแลปัญหาภาคใต้

ส่วนรัฐมนตรีด้านสังคมนั้น ก็มีการคาดกันว่าจะเพิ่ม "รมช.เกษตรและสหกรณ์" และ "รมช.การพัฒนาสังคมฯ" เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข

แต่สุดท้ายก็เกิดรายการ "พลิกโผ" ชนิดจำโผเดิมแทบไม่ได้

จนเกิดคำถามตามมาว่า "เกิดอะไรขึ้นกับ ครม.สุรยุทธ์ 1/5 หรือไม่???"

นอกจากโผพลิกแล้ว ยังเสมือนเกิดรายการ "ดองเค็ม" ถึงทำให้การปรับ ครม.ล่าช้ากว่าที่เคย จนสังคมแทบไม่ให้ความสนใจกันแล้ว

การปรับ ครม.หนนี้ จะไม่มีการปรับออกแม้แต่คนเดียว เพราะเสียงเรียกร้องจากสังคมต้องการให้มีการ "ปรับออก" บ้างเพื่อยกเครื่องการทำงานใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

มันจึงเกิดคำถามว่า นายกฯ ปรับ ครม.คราวนี้ ถูกเป้าหมายจริงหรือ ???

แต่อย่างไรก็ตาม มันมีเหตุผลแท้จริงที่ทำให้การปรับ ครม.หนนี้ต้องเจอโรคเลื่อน พร้อมกับรายการพลิกโผอยู่ลึกๆ

ย้อนกลับไปทบทวนดูจะพบเห็นรายชื่อผู้ถูกทาบทามให้เป็นรัฐมนตรีอยู่หลายคนทีเดียว

และล้วนมีเป้าหมายที่เกี่ยวเนื่องกับการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่

ถึงขั้นเกือบจะตรวจสอบคุณสมบัติกันก็หลายคน แต่สุดท้ายก็เหลว

เหตุอยู่ตรงที่คำว่า "กลัวทักษิณ" นั่นแหละ

คิดสะระตะแล้วเหลือเวลาแค่ 6 เดือน คงไม่คุ้มกับการโดนเช็คบิล !!!

ขอขอบคุณ : ข้อมูลข่าวที่มีคุณภาพ จาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก