มั่นใจพฤษภาทมิฬรอบ2 ไม่เกิด-เหตุปชช.มีบทเรียน

มั่นใจไม่เกิดพฤษภาทมิฬรอบ 2 เพราะประชาชนเคยมีบทเรียนมาแล้ว เชื่อรบ.-คมช.จัดการชนวนก่อเหตุความรุนแรงได้

แนะให้แยกแยะม็อบรธน.กับม็อบการเมืองออกจากกัน หนุนปรับครม.เพิ่มรมต.ดูแลรธน.ประสานงานร่วมกับสนช.

ที่น.พ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ระบุว่าสถานการณ์การเมืองกำลังเข้าสู่กลียุคและในอนาคตจะเกิดการนองเลือดขึ้นนั้น ตนคิดว่าน.พ.ประเวศคงมองในมุมภาพรวมของประวัติศาสตร์การเมือง

แต่สถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างจากเหตุการณ์เมื่อปี 2535 เนื่องจากไม่มีสัญญาณหรือตัวบ่งชี้ใดๆว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น นอกจากนี้ตนยังเชื่อว่าผู้ที่รับผิดชอบทุกฝ่ายจะสามารถรับมือได้

เพราะรัฐบาล คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) และฝ่ายความมั่นคง รู้ล่วงหน้าและติดตามการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมกลุ่มต่างๆอยู่โดยเฉพาะกลุ่มอำนาจเก่าก็น่าจะมีการป้องกันได้ ประกอบกับประชาชนคนไทยมีบทเรียนจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬมาแล้ว

จึงไม่ประสงค์ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ดังนั้นเมื่อมีการวิเคราะห์ว่าเดือนพฤษภาจะเกิดความรุนแรงมีการนองเลือด ก็ถือว่าเป็นการเตือนสติสังคมทำให้การเข้ามามีส่วนในการชุมนุมลดน้อยลงไป

"ความรู้สึกร่วมของประชาชนขณะนี้ไม่เหมือนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ดังนั้นจะมีก็เพียงชนวนเดียว คือ กลุ่มอำนาจเก่าที่เป็นเงื่อนไขสำคัญว่าจะก่อชนวนความรุนแรงหรือไม่

ดังนั้นต้องพยายามเตือนสติสังคมให้รับรู้ถ้าทำได้ก็ไม่มีปัญหา แต่เมื่อได้เห็นการเคลื่อนไหวของรัฐบาลกับคมช.ที่พยายามถอดชนวนอยู่ ก็เชื่อว่าน่าจะประคับประคองสถานการณ์ได้ ที่สำคัญคือรัฐบาล คมช.ต้องป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์เผชิญหน้า และก่อความรุนแรง

โดยต้องแยกแยะกลุ่มผู้ชุมนุมในเรื่องของรัฐธรรมนูญ กับกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองออกจากกัน เพราะขณะนี้สถานการณ์ประจวบเหมาะกันพอดี อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าหลังจากเดือนพฤษภาคมไปแล้วสถานการณ์บ้านเมืองจะดีขึ้น

เพราะเมื่อคดียุบพรรคเสร็จสิ้นลงและรัฐธรรมนูญเข้าสู่กระบวนการแปรญัตติ" รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ความแปรปรวนทางการเมืองอย่างไรก็ตามแต่การเลือกตั้งคือทางออกของประเทศ เพราะจะก่อให้เกิดความเชื่อมั่นด้านต่างๆ และเป็นการฟื้นฟูประชาธิปไตย

ดังนั้นตนยังเชื่อว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นในปลายปีนี้เพราะได้เห็นถึงท่าทีของรัฐบาล สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และกองทัพที่เดินไปบนเส้นทางเดียวกันสู่รัฐธรรมนูญและมีการเลือกตั้ง

เพราะที่ผ่านมาเราต้องเผชิญวิกฤติการณ์การเมือง ทำให้ประเทศบอบช้ำมาก

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ล่าสุดมีรายงานข่าวจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) ซึ่งได้รายงานคมช.ว่า กลุ่มอำนาจเก่ายังส่งเงินสนับสนุนให้อดีตส.ส.3,000,000 บาท ต่อเดือนในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

ซึ่งตนคิดว่าคมช.จะต้องชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสาธารณชนว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหรือไม่ และจะจัดการอย่างไรเพื่อไม่ให้พฤติกรรมต่อท่อน้ำเลี้ยง นำมาซึ่งการสนับสนุนการชุมนุมและนำมาซึ่งการก่อม๊อบ ในการเผชิญหน้าเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจเก่า

ทั้งนี้หากรายงานข่าวดังกล่าวเป็นจริงก็ถือว่าน่ากลัวและอันตรายแต่ในอีกมุมหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่าการทำงานของฝ่ายความมั่นคงมีประสิทธิภาพ สามารถที่จะป้องกันพฤติกรรมที่จะสร้างความรุนแรง

หรือการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของนักการเมืองกลุ่มอำนาจเก่า

คิดว่าการปรับครม.จะช่วยแก้ไขปัญหาต่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ได้มากน้อยแค่ไหน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การปรับครม.เป็นสิทธิของนายกรัฐมนตรีในการที่จะปรับแนวทางการทำงาน เพื่อให้บุคคลากรทำงานบรรลุภารกิจ

ซึ่งอย่างน้อยการปรับครม.ก็สะท้อนให้เห็นว่านายกรัฐมนตรียอมรับฟังเสียงวิพากษณ์วิจารณ์ ว่าการทำงานของรัฐบาลยังไม่บรรลุเป้าหมายตามที่ประชาชนคาดหวัง ส่วนกระแสข่าวการปรับครม.เพิ่มรัฐมนตรีที่จะมารับผิดชอบเรื่องของรัฐธรรมนูญก็เห็นว่าเป็นการเดินมาถูกทาง

เพราะรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่ที่เป็นภาระกิจหนึ่งที่รัฐบาลควรสนับสนุนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม รับรู้รัฐธรรมนูญอย่างถ่องแท้และกว้างขวาง ขณะเดียวกันกฎหมายที่จำเป็นต่อการแก้ไขปัญหาของประเทศ ก็จะต้องมีผู้รับผิดชอบทำหน้าที่ประสานงานผลักดันร่วมกับสนช.

"ผมคิดว่าการปรับครม.เป็นกระบวนการหนึ่งในการปรับปรุงการทำงานของรัฐบาล และหวังว่าจะมีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น

โดยใช้ช่วงเวลาครึ่งหลังของรัฐบาลในการประคับประคองบ้านเมืองไปสู่การฟื้นฟูประชาธิปไตยและรักษาสภาวะเศรษฐกิจไม่ให้มีปัญหา" รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

ขอขอบคุณ : ข้อมูลข่าวที่มีคุณภาพ จาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก