ผนึกกำลังคมช.-สนช.-คตส. ยกเครื่อง ฤาษีเลี้ยงเต่า

ผนึกกำลัง"คมช.-สนช.-คตส." ยกเครื่อง "ฤาษีเลี้ยงเต่า"


ในที่สุด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็ยอมรับแล้วว่า การทำงานในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาจะต้องมีการปรับ ครม.และปรับปรุงการทำงานของ ครม.ทั้งหมด

โดยเหตุผลที่ต้องเพิ่มจำนวนรัฐมนตรีนั้น เป็นเพราะบางกระทรวงมีงานค่อนข้างมาก และกว้างขวาง จึงจำเป็นที่จะต้องมีการปรับเพิ่มตำแหน่งรัฐมนตรี

แนวโน้มขณะนี้น่าจะเป็นการเพิ่มให้เต็มแม็ก นั่นคือเพิ่มอีก 3 คน ส่วนจะกี่ตำแหน่งค่อยว่ากันอีกที

"ขอให้ผมได้พิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย อย่างไรก็ตามการปรับ ครม.ครั้งนี้ไม่มีการปรับรัฐมนตรีคนใดออกไป แต่มีการปรับหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้อง แต่ขอให้ผมพิจารณาในรายละเอียดและคงจะทราบเมื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว


รัฐบาลจะถือโอกาสแถลงผลงานรอบ 6 เดือนให้ประชาชนได้รับทราบ


ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดี โดยคาดว่าการแถลงผลงานดังกล่าวจะมีขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมนี้"

แว่วมาว่าแนวคิดการปรับ ครม.นี้ นายกฯ ได้พิจารณาตั้งแต่เข้ารับการรักษาพยาบาลตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน ต่อเนื่องจนถึงเทศกาลสงกรานต์

คิดสะระตะเสร็จสรรพแล้ว ก็นัดหมายออกรอบแบบ "ส่วนตัว" กับอดีตลูกน้องคนสนิท "บิ๊กบัง" พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. เมื่อวันก่อน

แจ้งความประสงค์ในการปรับ ครม. รวมถึงหารือปรับปรุงการทำงานทั้งในส่วน ครม.และการประสานงานกับทั้ง คมช. สนช. และ คตส.เพื่อให้เป็นเอกภาพ ลดภาพความขัดแย้ง

ก่อนจะได้ข้อสรุปสุดท้ายเรื่องตำแหน่งรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ที่เดิมทีเดียวตั้งใจจะปรับเพิ่ม แต่หลังจากหารือเสร็จ "บิ๊กแอ้ด" ต้องพับโผนี้ใส่กระเป๋าอีกรอบ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คาดการณ์ได้ว่า "สองบิ๊ก" น่าจะหารือจนได้ข้อสรุปถึงการทำงานของ ครม.คอหอย-คมช.ลูกกระเดือกกันเรียบร้อยแล้ว

แม้จะไม่มีรัฐมนตรีคนใดโดนปรับออก เพราะรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2549 มาตรา 14 ระบุว่า พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง และรัฐมนตรีอื่นอีกจำนวนไม่เกิน 35 คน ตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน...


อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้


กระทรวงต่างๆ ที่มีรัฐมนตรีว่าการเพียงคนเดียวก็เคยส่งสัญญาณขอตัวช่วยจาก "บิ๊กแอ้ด" มาแล้วและมักจะสมประสงค์ไปทุกครั้ง

ครม.ชุดปัจจุบันมีทั้งสิ้น 33 คน ฉะนั้นยังเหลือที่ว่างอีก 3 คนที่จะเข้ามาเป็นตัวเสริมการทำงานของ ครม.ขิงแก่

แต่สุดท้ายแล้วอำนาจการตัดสินใจก็ขึ้นอยู่ที่ "บิ๊กแอ้ด"

และคราวนี้ก็ต้องวัดใจบิ๊กแอ้ดว่าจะเลือก "ขิงแก่" หรือ "ขมิ้นอ่อน" เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินในราวๆ 3 ตำแหน่ง ที่จะเพิ่มเข้ามา

ส่วนงานด้านความมั่นคง ก็คงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ "คมช." รับผิดชอบตามข้อตกลงเดิม

จากการวิเคราะห์ของคนใกล้ชิดนายกฯ และผู้ปฏิบัติงานในทำเนียบได้อ่านใจนายกฯ ไปแล้วว่า น่าจะปรับ ครม.ในส่วนของ "กระทรวงเกษตรฯ" และ "กระทรวงมหาดไทย"

โดย "เพิ่ม" รมช.มหาดไทย หรือ มท.3 เข้าไป เพื่อให้ดูแลและเตรียมจัดการเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี รวมถึงดูแลการชุมนุมของม็อบต่างๆ ให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด

ส่วน รมช.เกษตรฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มเข้าไปนั้น ก็จะไปดูแลและช่วยเหลือเกษตรกรที่มีปัญหา และปรามมิให้เกิดม็อบเกษตรกรมาปิดล้อมทำเนียบและกระทรวงเกษตรฯ


นอกจากนั้นงวดนี้ยังจะมีรายการสลับโยกย้ายระหว่างกระทรวงอีกหลายตำแหน่ง


เพื่อจัดทัพรับสถานการณ์ในอีก 6 เดือนข้างหน้า

นอกจากจะจัดคนกับงานให้ถูกฝาถูกตัวแล้ว ยังเป็นการใส่สปีด ครม.ด้วยเกียร์ 5 พร้อมเดินหน้าลุยเต็มสูบ

เพราะโพลล์ต่างๆ ที่ออกมานั้น เชื่อได้ว่านายกฯ น่าจะรู้และเข้าใจถึงกระแสสังคมที่มองการทำงานของ ครม.ชุดนี้อย่างไร

และเป็นไปได้เหมือนกันว่าทั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ และ พล.อ.สนธิ คงจะตกลงกันได้ถึงวิธีที่ฤาษีควรจะเลี้ยงเต่าในทฤษฎีใหม่อย่างไร

เพื่อให้เต่าพัฒนาการทำงานให้เร็วและตรงเป้าหมายที่ "บิ๊กแอ้ด" ต้องการ

อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ระบุว่า นายกฯ สั่งให้ ครม.ไปสรุปผลงานและโครงการจัดลำดับความสำคัญของงานในแต่ละกระทรวงมารายงานให้นายกฯ รับทราบ

และในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 18 เมษายน ที่ผ่านมา นายกฯ ถึงกับปิดประตูห้องเพื่อประชุมลับกับ ครม.ทั้งคณะโดยใช้เวลาหารือทั้งสิ้น 1 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อขันนอตการทำงาน


ที่สำคัญการปรับ "ลุค" ของ ครม.หนนี้ ยังเป็นการส่งสัญญาณไปพร้อมๆ กันด้วยว่า


ครม.ชุด 6 เดือนหลังนี้ จะต้องปลอดจากการเมืองภายนอกแทรกแซง

สำคัญคือต้องปลอดจากการ "เสี้ยม" จากผู้ไม่หวังดีทั้งหลายแหล่

จึงเป็นที่มาของการส่งเทียบเชิญ "ประธาน คมช.-ประธาน สนช.-ประธาน คตส." ร่วมโต๊ะ ครม.ทุกนัดนับจากนี้

"นายกฯ สั่งเร่งทำงานใน 6 เดือนแรกให้แล้วเสร็จ ไม่ต้องเริ่มงานใหม่ และการประชุม ครม.ครั้งต่อๆ ไปจะเชิญประธาน คมช. ประธาน สนช.และประธาน คตส.เข้าร่วมประชุมด้วย รวมทั้งจะตั้งคณะทำงานยุทธศาสตร์ของทุกกระทรวงขึ้นมาไว้ที่สำนักเลขาธิการนายกฯ และจะทำงานแบบฟาสต์แทรค"

น.พ.พลเดช ปิ่นประทีป รมช.การพัฒนาสังคมฯ สาธยายให้ฟังถึงแผนการทำงานเชิงรุกโฉมใหม่ภายหลังออกจากห้องประชุม ครม.

ประเด็นสำคัญของการผนึกกำลังในครั้งนี้ มาจากจุดบอดของ ครม.และ คมช.นั่นก็คือการทำงานแบบแยกส่วน และไม่เด็ดขาดมาตลอด 6 เดือน

เสมือนเป็นการทำงานแบบ "ตัวใครตัวมัน"


ส่งผลให้การทำงานไม่เป็นเอกภาพ เกิดภาพ "หน่อมแน้ม" ในสายตาสาธารณชน


และที่สำคัญคือทำให้เกิดจุดอ่อนทางการเมืองให้ฝ่ายตรงข้ามและผู้ไม่หวังดี "ยุแยงตะแคงรั่ว" ให้แตกสามัคคี

นับจากนี้จึงต้องจับตามองกันว่า แผนการทำงานเชิงรุก "โฉมใหม่" ของฤาษีเลี้ยงเต่า จะได้ผลมากน้อยแค่ไหน

รวมถึงแผนการทำงานเพื่อเดินไปสู่เป้าหมายในการเคลียร์ข้อข้องใจของสังคมต่อ 4 ข้อกล่าวหาที่มีต่อรัฐบาลทักษิณ จะสำเร็จลุล่วงหรือไม่

แต่อย่างน้อยก็คาดหมายได้ว่า การประชุม "ครม.4 ฝ่าย" น่าจะทำให้สถานการณ์ที่ถูกรุกไล่ พลิกกลับขึ้นมาได้บ้าง



ขอขอบคุณ : ข้อมูลข่าวที่มีคุณภาพ จาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์