จดหมายเปิดผนึก จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย
เรียน สมาชิกพรรคไทยรักไทย ที่รัก
ตามที่ได้มีกลุ่มบุคคลผู้ไม่ประสงค์ให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ได้ทำการเคลื่อนไหวกดดันและกล่าวหาผมและครอบครัว ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ ทำให้พี่น้องประชาชนสับสนและเข้าใจผิดต่อผมและพรรคไทยรักไทย
ผมขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงให้สมาชิกพรรคไทยรักไทย และพี่น้องประชาชนที่สนับสนุนผมและพรรคไทยรักไทย ได้ทราบข้อเท็จจริง ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้
1.ทำไมต้องขายหุ้นชินคอร์ป?
วันแรกที่ผมประกาศลงสนามการเมือง ในนามหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ผมถูกจ้องเล่นงานด้วยเรื่องหุ้น ในที่สุด ผมก็รอดมาได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่าผมไม่มีเจตนาที่จะปกปิด หรือซุกหุ้น
เมื่อพ้นคดีซุกหุ้นมาได้ ผมตั้งปณิธานว่าจะทำงานเพื่อชาติ เพื่อบ้านเมืองของผมด้วยชีวิต และสติปัญญาที่มีอยู่ เพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดินเกิด จนกว่าจะสิ้นลมหายใจ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด ผมก็จะทำเพื่อสนองคุณแผ่นดิน และสนองพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย
เพื่อจะยุติปัญหาทั้งปวงเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เรื่องหุ้น และบริษัทผมได้ปรึกษากับครอบครัวว่า ผมต้องการทำงานการเมืองด้วยความอิสระ การที่คนในครอบครัวยังทำธุรกิจ ถือหุ้นอยู่ อาจจะเกิดความผิดพลาดโดยไม่เจตนาขึ้นอีก ทุกคนในครอบครัวเข้าใจเจตนารมณ์ของผมดี จึงยอมขายบริษัทที่สร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของทุกคน
แต่การขายหุ้นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ เช่น ชินคอร์ป ไม่ใช่เรื่องที่ขายได้ง่ายๆ เพราะครอบครัวผมตั้งเงื่อนไขกับผู้ซื้อว่า ซื้อไปแล้ว ต้องให้คนไทยบริหารไม่ปลดพนักงาน และต้องดำเนินการใต้กฎหมายไทย เนื่องจากกิจการนี้เป็นสัมปทาน บริษัทได้สิทธิในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น โดยรัฐยังคงเป็นเจ้าของ หากบริษัทหรือผู้ซื้อกิจการทำผิดสัมปทาน รับก็ยังคงยกเลิกได้
คณะที่ปรึกษาของลูกๆ ได้ใช้เวลานานพอสมควร จึงเจรจาขายหุ้นบริษัทในส่วนที่ครอบครัวผมถืออยู่ได้สำเร็จ ซึ่งในครั้งแรกผมถือว่าเป็นโชคดีของผม ที่จะสามารถทำงานการเมืองได้อย่างอิสระ ไม่ต้องกังวลเรื่องหุ้นของคนในครอบครัวอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นว่า เจตนาดีที่ตั้งใจไว้ กลายเป็นคราวเคราะห์เมื่อมีผู้บิดเบือนข้อมูล ทำความจริงเป็นความเท็จ ทำให้เรื่องปกติกลายเป็นเรื่องผิดปกติ จนเกิดการเข้าใจผิดแก่ประชาชน และขยายวงกว้างจนทำให้สังคมเข้าใจผมผิดๆ
ถ้าผมทราบล่วงหน้าว่าเจตนาดีที่ผมตั้งใจจะทำงานให้บ้านเมืองอย่างอิสระจะถูกบิดเบือนเช่นนี้ ผมคงจะไม่ให้ความเห็นให้ครอบครัวขายหุ้น เมื่อครอบครัวมาขอความเห็น เพราะทำให้ทุคนเดือดร้อน ทั้งๆ ที่ถ้าถือหุ้นอยู่ก็ยังได้รับเงินปันผลและกำไรจากบริษัทอยู่ ซึ่งดีกว่าการขายออกไป ทำให้หมดสิทธิได้รับส่วนแบ่งจากกำไร แล้วยังถูกโจมตี ใส่ร้าย เช่นที่เกิดขึ้นในเวลานี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ก็เพราะครอบครัวผมยังไม่สามารถทำให้ประชาชนเข้าใจเจตนาดีของพวกเราทุกคนได้ เนื่องจากไม่มีโอกาสที่จะชี้แจงต่อประชาชน ทำให้ผู้ที่บิดเบือนข้อเท็จจริงเร่งโหมสร้างข้อมูลเท็จ และทำให้ประชาชนเข้าใจผิดต่อผมและครอบครัวอย่างมาก
ผมมั่นใจว่าด้วยหัวใจที่เป็นธรรม และปราศจากอคติของพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน จะเข้าใจเรื่องการขายหุ้นชินคอร์ปได้ หากได้รับทราบข้อมูลที่เป็นจริง ครบถ้วน และไม่ถูกบิดเบือนเช่นที่ผ่านมา
2.ขายหุ้น ได้กำไร ต้องเสียภาษีหรือไม่?
กฎกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 126 ซึ่งประกาศใช้เมื่อ พ.ศ.2509 ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (23) แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 187 พ.ศ.2534 กำหนดไว้ว่า เงินได้จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับการยกเว้นการจัดเก็บภาษี
หมายความว่า ทุกคนที่มีรายได้จากการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หรือตลาดหุ้น ไม่ต้องเสียภาษี ทุกคนที่ซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้น ได้รับสิทธิได้รับการยกเว้น เสมอภาค เท่าเทียมกัน และปฏิบัติกันเช่นนี้มาเป็นเวลา 16 ปีแล้ว คือตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2534 ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมาใช้กับครอบครัวผมเป็นรายแรก และไม่ใช่ว่าครอบครัวผมได้รับสิทธิพิเศษใดๆ เหนือกว่าคนอื่นๆ ขอให้คนไทยนับแสนที่เคยเล่นหุ้นช่วยเป็นพยานด้วยว่ารายได้จากการเล่นหุ้น ขายหุ้นในตลาดหุ้นนั้น ท่านต้องเสียภาษีหรือไม่
แต่มีผู้บิดเบือนข้อเท็จจริง ให้ข้อมูลแก่ประชาชนว่า ครอบครัวผมมีรายได้จากการขายหุ้น 73,000 ล้านบาท แล้วไม่ยอมเสียภาษี เป็นการเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ส่วนรวม ซึ่งมีเจตนาที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดต่อผมและครอบครัว
ไม่ใช่ว่าครอบครัวผมไม่ยอมเสียภาษี แม้ครอบครัวผมอยากจะชำระภาษี กรมสรรพากรก็ไม่สามารถรับได้ เนื่องจากว่ารายได้ที่เกิดขึ้นเป็นรายได้จากการขายหุ้นในตลาดหุ้นทั้งสิ้น เพราะหุ้นที่ขายเป็นหุ้นที่อยู่ในตลาดหุ้น ไม่ใช่หุ้นที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่ารายได้จากการขายหุ้นในตลาดหุ้น ได้รับการยกเว้นภาษี เช่นเดียวกับนักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้น ก็ได้รับการยกเว้นภาษีทุกคน
คุณบุญชัย เบญจรงคกุล และครอบครัว ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทยูคอม จำกัด (มหาชน) เจ้าของโทรศัพท์ DTAC ขายหุ้นไปก่อนหน้าชินคอร์ป ประมาณ 3 เดือน ก็ไม่เสียภาษี เพราะได้รับการยกเว้นเช่นเดียวกัน
ผู้บริหารบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) เจ้าของหนังสือพิมพ์มติชน ข่าวสด ผู้บริหารบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย จำกัด (มหาชน) เจ้าของหนังสือพิมพ์เนชั่น กรุงเทพธุรกิจ คม-ชัด-ลึก ผู้บริหารโพสต์พับบลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) เจ้าของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ โพสต์ทูเดย์ ขายหุ้น ก็ไม่ได้เสียภาษีเพราะได้รับการยกเว้นตามกฎหมายฉบับเดียวกับที่ครอบครัวผมได้รับ
นักการเมืองฝ่ายค้านในพรรคประชาธิปัตย์บางคนเป็นนักลงทุนซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นเป็นอาชีพ ได้กำไรปีละหลายร้อยล้านบาท ก็ไม่เคยเสียภาษีรายได้จากการขายหุ้นสักบาทเดียว เพราะกฎหมายยกเว้นให้เช่นเดียวกัน
นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทชินวัตรขึ้นมา ผมและครอบครัวชำระภาษีรายได้เต็มจำนวนเป็นประจำทุกปี ไม่เคยขาดแม้แต่บาทเดียว นับถึงวันนี้ คิดเป็นเงินที่ผมและครอบครัวชำระภาษี ร่วม 3,000 ล้านบาท ในส่วนของบริษัทชินคอร์ป นับแต่ก่อตั้งขึ้นมาจนถึงขณะนี้ ได้ชำระภาษีและค่าสิทธิการดำเนินงานต่างๆ แก่รัฐไปแล้วเกือบ 200,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นได้ว่าผมและครอบครัวไม่เคยมีเจตนาที่จะหลบหนีภาษี
กรณีที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็นเพราะมีผู้บิดเบือนข้อมูล ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าครอบครัวผมทำผิดกฎหมาย ไม่ชำระภาษี โดยผมให้การสนับสนุนการทำผิดกฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งผมต้องขอความกรุณาประชาชนได้พิจารณาไตร่ตรองข้อมูลที่ได้รับก่อนจะเชื่อและคล้อยตาม
3.ขายชาติใช่ไหม?
ข้อกล่าวหาที่รุนแรงที่สุดสำหรับคนไทยอย่างผม ก็คือ ขายชาติ ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือเป็นประชาชนธรรมดา ผมไม่มีวันที่จะขายชาติ หรือนำสมบัติของชาติไปขาย อย่างที่มีผู้กล่าวหาผม
การขายหุ้นชินคอร์ปของครอบครัวผม ให้แก่ เทมาเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจสัญชาติสิงคโปร์ เป็นการขายหุ้นของบริษัท ไม่ใช่การขายใบอนุญาตการให้บริการสัญญาณดาวเทียม โทรศัพท์ และโทรทัศน์ ไม่ได้ถูกนำไปใช้เพื่อกิจการของประเทศอื่น สิทธิทั้งหมดยังคงเป็นของประเทศไทย และใช้ประโยชน์เพื่อคนไทย เทมาเล็กเป็นเพียงเข้ามาบริหาร เข้ามาลงทุน และได้ผลตอบแทนทางธุรกิจในรูปแบบของกำไร หรือราคาหุ้นที่สูงขึ้นในอนาคตเท่านั้น
ประเด็นสำคัญก็คือ บริษัทชินคอร์ป เป็นบริษัทสัญชาติไทย ตั้งอยู่ และประกอบกิจการในประเทศไทย ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทยเท่ากับว่าเทมาเล็ก ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย ไม่ได้รับสิทธิพิเศษใดๆ เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ขณะกิจการโทรคมนาคม มีคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เป็นผู้กำกับดูแลรักษาประโยชน์ของประเทศ ที่จะได้รับจากการให้สิทธิบริการโทรคมนาคม เป็นไปไมได้ที่เทมาเล็กจะชี้นำให้บรษัท ชินคอร์ปดำเนินการฝ่าฝืน หรือขัดต่อกฎหมายไทย เพื่อประโยชน์ของชาติอื่น เพราะ กทช.จะไม่ยอมให้มีการดำเนินการเช่นนั้นแน่ จริงๆ แล้วสิทธิและความเป็นเจ้าของอุปกรณ์ทุกอย่างยังเป็นของรัฐบาลไทยตามกฎหมายเดียวกับวิทยุโทรทัศน์และโทรคมนาคมทุกประการ
มีคำถามมากว่าทำไมไม่ขายให้คนไทยด้วยกัน เท่าที่ผมทราบ ผู้บริหารบริษัทชินคอร์ป ได้พยายามแล้ว แต่ไม่มีกลุ่มใดสนใจ เมื่อกลุ่มธุรกิจในประเทศไม่สนใจจึงมีการไปเจรจาหาผู้ซื้อในต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่เทมาเส็กรายเดียว แต่มาจบได้ที่เทมาเส็ก
ผมขอยืนยันว่า การขายหุ้นชินคอร์ปของครอบครัวผม ไม่ใช่การขายชาติ หรือนำสมบัติของชาติไปขาย เป็นเพียงการขายหุ้นส่วนที่เป็นของครอบครัวในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น
เพื่อความเป็นธรรมแก่ครอบครัวผม และบริษัทชินคอร์ป ขอความกรุณาพิจารณา เปรียบเทียบกรณีตระกูลเบญจรงคกุล ขายหุ้นบริษัทยูคอม ให้แก่บริษัทเทเลนอร์ สัญชาตินอร์เวย์ ไม่ได้แตกต่างกันเลย บริษัทยูคอมทำธุรกิจโทรคมนาคม ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ DTAC และขณะนี้บริษัทเทเลเนอร์ได้เข้าไปบริหารบริษัทยูคอม และธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ DTCA แล้ว
กรณีตระกูลเบญจรงคกุล ขายหุ้นบริษัทยูคอม ให้กับต่างชาติ 38% เมื่อเดือนตุลาคม 2548 ก่อนที่ครอบครัวผมจะขายหุ้นชินคอร์ป 3 เดือน ไม่ถูกกล่าวหาว่าขายชาติ หรือขายสมบัติชาติ แต่กรณีครอบครัวผม ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปกลับถูกกล่าวหาว่าขายชาติ หรือขายสมบัติชาติ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรม เป็นข้อกล่าวหาที่เกิดจากการบิดเบือนข้อมูลของผู้ที่ต้องการทำให้ประชาชนเข้าใจผิดต่อผมและครอบครัว
เป็นที่น่าสังเกตว่ากรณีการขายหุ้นบริษัทยูคอม และบริษัทอื่น พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ตรวจสอบและไม่ได้นำมาเปรียบเทียบกับการขายหุ้นชินคอร์ปเลย อาจจะเป็นเพราะผู้บริหารในบริษัทเหล่านั้น เลยเป็นกรรมการบริหารพรรค ผู้อำนวยการพรรค เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ หรือเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ในทางหนึ่งทางใด
ผมขอยืนยันว่าการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปของครอบครัวผม ไม่ใช่การขายชาติ ไม่ใช่การขายสมบัติชาติ สิทธิทุกอย่างยังคงอยู่ในประเทศไทย เพื่อประโยชน์ของคนไทยไม่เปลี่ยนแปลง และบริษัทชินคอร์ปยังเป็นคู่สัญยากับรัฐบาลไทยโดยรัฐบาลเป็นเจ้าของสิทธิเหล่านั้นตามเดิม
4.แก้กฎหมายโทรคมนาคมเอื้อประโยชน์ชินคอร์ปจริงหรือไม่?
มีการกล่าวหาว่าผมใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี ไปสั่งการให้มีการแก้ไขกฎหมายประกอบกิจการโทรคมนาคม ให้ต่างชาติถือหุ้นได้มากกว่า 25% เพื่อเอื้อประโยชน์แก่การขายหุ้นชินคอร์ป ให้แก่เทมาเส็ก เนื่องจากกฎหมายประกอบกิจการโทรคมนาคม ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2549 ในขณะที่ครอบครัวผมขายหุ้นชินคอร์ป วันที่ 23 มกราคม 2549 ซึ่งหากดูตามเวลาที่ปรากฏเช่นนี้ก็ชวนให้สงสัยว่ามีการแก้กฎหมายเพื่อการนี้จริงหรือไม่
กระบวนการแก้ไขกฎหมายประกอบกิจการโทรคมนาคม เริ่มต้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2544 โดยบริษัทโทเท็ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ TAC ในเครือบริษัทยูคอม บริษัทซีพีออเรนจ์ และบริษัทไทยเทเลโฟน แอนด์ เทเลคอมมิวนิเคชั่น หรือทีทีแอนด์ที ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องเลยกับธุรกิจของครอบครัวผม ร้องขอให้บริษัทต่างชาติถือหุ้นในบริษัทประกอบกิจการโทรคมนาคมได้มากกว่า 25% เพื่อเป็นการปรับโครงสร้างอค์การ ก่อนเข้าสู่การแข่งขันเมื่อเปิดเสรีโทรคมนาคม ซึ่งกระทรวงคมนาคมรับเข้าสู่กระบวนการพิจารณา และดำเนินการกันมาตามขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จนเลือกตั้งใหม่ก็ยังรับช่วงพิจารณาต่อจนเสร็จ โดยใช้เวลานานถึง 4 ปี จึงประกาศในราชกิจจานุเบกษาบังคับใช้ได้
ในการพิจารณาแก้ไขกฎหมายครั้งนั้น บริษัทชินคอร์ป หรือบริษัทในเครือไม่ได้เป็นผู้ร้องขอ และถ้าไปตรวจสอบรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณาแก้ไขร่างกฎหมายฉบับนี้ จะพบว่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้อภิปรายคัดค้าน และไม่ได้ลงมติคัดค้านการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ แต่ข้อมูลนี้ไม่เคยมีการนำมาเปิดเผยให้ประชาชนได้รับทราบ
การกล่าวหาว่าผมเป็นผู้ผลักดันแก้ไขกฎหมายประกอบกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์แก่การขายหุ้นชินคอร์ป จึงเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มคนที่ไม่ต้องการให้ผมอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
5.บริติชเวอร์จิ้น ไอส์แลนด์ คืออะไร?
แอมเพิล ริช เป็นของใคร
บริษัทบริติชเวอร์จิ้น ไอส์แลนด์ เป็นเกาะในทะเลแคริบเบียน เป็นเขตปกครองใต้อาณัติของอังกฤษพูดกันง่ายๆ ก็คิดคล้ายๆ กับอาณานิคมของอังกฤษ เป็นชุมนุมชนทางธุรกิจของบริษัทจำนวนมาก ที่มักจะไปจัดตั้งบริษัทย่อย เพื่อเจรจาทางการค้า การลงทุนในต่างประเทศ เนื่องจากกฎหมายของบริติเวอร์จิ้น ไอส์แลนด์ ไม่มีการจัดเก็บภาษีมรดก และภาษีกำไรจากการขาย (Capital Gain Tax) จึงทำให้ธุรกิจมีต้นทุนต่ำ และคล่องตัว
บริษัทธุรกิจไทยหลายบริษัทไปเปิดบริษัทบ่อยที่ บริติเวอร์เจ้น ไอส์แลนด์ และเกาะเคย์แมน ที่ให้สิทธิพิเศษทางภาษีเหมือนกัน เช่นบริษัท ทีพีไอ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย บริษัท ปตท. ก็จัดตั้งบริษัทย่อย ของตัวเอง ที่บริษัทบริติเวอร์จิ้น ไอส์แลนด์ คุณสนธิ ลิ้มทองกุลก็จัดตั้งบริษัทเอเซียเทเลคอม โฮลดิ้งส์ จำกัดที่ บริติเวอร์จิ้น ไอส์แลนด์มาแล้ว นักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ อย่างคุณกร จาติกวณิชย์ ก็เคยทำธุรกิจกับบริษัท ในบริติเวอร์จิ้นไอแลนด์
แอมเพิลริช เป็นบริษัทที่ผมตั้งขึ้นบนเกาะ บริติเวอร์จิ้น ไอสแลนด์ ตามคำแนะนำของที่ปรึกษาการเงิน ซึ่งขณะนั้นผมไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองและไม่มีตำแหน่งใดๆ ทางราชการเมื่อครั้งที่ผมมีความตั้งใจ ที่จะนำบริษัทชินคอร์ปฯ ไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยถือหุ้น บริษัทแอมเพิลริช 100% และโอนหุ้นของผมเอง จำนวน 72.93 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท ไปอยู่ในบริษัทแอมเพิลริชเพื่อเตรียมจะไปจดทะเบียนในตลาดหุ้น แนสแดกของสหรัฐฯ และต่อมามีปรับเปลี่ยนราคาหุ้นจาก 10 บาทเป็น 1 บาท ส่งผลให้หุ้นบริษัทแอมเพิลริชที่เคยมี 32.92 ล้านหุ้น กลายเป็น 329.2 ล้านหุ้น เมื่อคิดเป็นจำนวนเงิน และเท่ากับ 329.2 ล้านบาท เท่าเดิม ไม่ได้มีการเพิ่มหุ้นแต่อย่างใด
แต่ต่อมา สภาวะการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลง การตัดสินใจที่จะนำบริษัทชินคอร์ปฯไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นแนสแดก ก็ไม่ได้เดินหน้าต่อ ประกอบกับการที่ผมตัดสินใจ เข้าสู่การเมือง ด้วยการตั้งพรรคไทยรักไทย จึงยุติการทำธุรกิจทั้งหมด และโอนหุ้นที่ถืออยู่ให้กับลูกๆ ที่บรรลุนิติภาวะ เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ คือห้ามนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีถือหุ้นบริษัทเกิน 5%
เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2543 ผมได้โอนหุ้นทั้งหมด ให้แก่ลูกชาย ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าผมไม่มีหุ้น และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ อีกกับบริษัทชินคอร์ปทั้งทางตรงและทางอ้อม ก่อนที่ผมจะชนะการเลือกตั้งได้เป็นนายกรัฐมนตรี ผมจึงไม่เข้าข่ายซุกหุ้นภาค 2 และไม่เข้าข่ายการเข้าไปมีส่วนในการบริหารจัดการบริษัท ตามที่สมาชิกวุฒิสภา พยายามยื่นเรื่องให้ ตามรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เมื่อรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ไม่ตรงตามที่ต้องการก็โกรธเคืองตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไปด้วย
การโอนหุ้นให้ลูกชายเป็นการโอนจริง เพราะลูกชายก็บรรลุนิติภาวะแล้ว อยู่ในวิสัยจะรับผิดชอบธุรกิจได้ ผมโอนแบบ"พ่อให้ลูก" ซึ่งกฎหมายให้ทำได้โดยธรรมจรรยา กฎหมายยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการโอน เช่นเดียวกับที่บิดาคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยกเงินได้จากการขายที่ที่หัวหิน ให้คุณอภิสิทธิ์ และเหมือนกับบิดาคุณกร จาติกวณิชย์ รองเลขาพรรคประชาธิปัตย์ โอนหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ เจเอฟ ธนาคม จำกัด ให้แก่คุณกรณ์ ทั้งคุณอภิสิทธิ์และคุณกร ก็ไม่ต้องเสียภาษีเหมือนกับลูกชายผมไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งเป็นหลักความเสมอภาคตามกฎหมายที่ประชาชนทุกคนพึงได้รับ ความคุ้มครองไม่สามารถเลือกปฏิบัติได้
การกล่าวหาว่าลูกชายผมไม่ยอมเสียภาษี จึงเป็นการบิดเบือนข้อมูล เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อ และเข้าใจผิดต่อผมและครอบครัว ทั้งๆที่คุณอภิสิทธิ์และคุณกรก็ทราบกฎหมายดีและเคยใช้สิทธิตามกฎหมายยกเว้นภาษีในกรณีรับโอนทรัพย์สินจากบิดามาแล้ว การกล่าวหาผมและครอบครัวในประเด็นนี้ จึงเป็นการกล่าวหาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนเกลียดชังผมและครอบครัวเพื่อประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น
ลูกชายและลูกสาวของผม นำหุ้นจำนวนดังกล่าวไปขายในตลาดหลักทรัพย์ ตามกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ ก็ย่อมได้รับสิทธิ์การยกเว้นภาษีเงินได้ตามกฎหมายกำหนดไว้ แต่กลับมาการกล่าวหาลูกชายและลูกสาว ผมหนีภาษี ซึ่งบิดเบือนข้อเท็จจริงทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ถ้าลูกชายและลูกสาวผมต้องการหนีภาษีก็สามารถขายหุ้นในต่างประเทศและฝากเงิน ไว้ในต่างประเทศ ก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่การนำหุ้นกลับมาขายในประเทศไทย เงินที่ได้ทั้งหมดเมื่อนำมาฝากในสถาบันการเงินไทย ก็ต้องเสียภาษีเงินได้จากดอกเบี้ย ปีละไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท
ผมขอยืนยันว่า การขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปครั้งนี้ครอบครัวผมปฏิบัติตามข้อกฎหนดของกฎหมายอย่างตรงไปตรงมาทุกขั้นตอนและไม่ได้รับสิทธิพิเศษใดๆ ไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย แตกต่างจากบุคคลทั่วไป ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้ คุณกรณ์ จากติวณิชย์ รองเลขาฯปชป.เคยเป็นผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์มาก่อน เคยแนะนำ และจัดการซื้อขายหุ้นในลักษณะนี้มาแล้วจำนวนมาก็ใช้วิธีการไม่แตกต่างจากครอบครัวผมทำ บางกรณี อาจจะมีความซับซ้อนมากกว่าเสียอีก
ทุกขั้นตอนการขายหุ้นชินคอร์ป ครอบครัวผม ได้แต่งตั้งตัวแทน ชี้แจงต่อสื่อมวลชนและประชาชนแล้ว แต่ก็ยังมีความพยายาม ที่จะขุดคุ้ย หาความผิดปกติ เมื่อไม่พบ ก็ใช้วิธีการบิดเบือนความจริงให้เป็นความเท็จเพื่อกล่าวหาใส่ร้ายผมและครอบครัวตลอดมา
การดำเนินการของกลุ่มคนนี้ ไม่ต้องการให้ผม เป็นนายกรัฐมนตรี ในขณะนี้ เป็นการจงใจบิดเบือนความจริงเพื่อประโยชน์ทางการเมืองโดยไม่คำนึงถึงหลักการ แห่งกฎหมายที่ตัวเองก็เคยได้รับความคุ้มครองมาก่อน จึงขอความกรุณาประชาชน ได้พิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรม ต่อครอบครัวผมด้วย ตลอดเวลาที่ผ่านมา ของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแม้จะไม่เคยโอ้อวดว่าเป็นผู้มีจริยธรรม มีคุณธรรมแต่ผมและครอบครัวได้ปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ
นโยบายต่างที่ได้สัญญาไว้กับประชาชนไม่ว่าจะเป็นกองทุนหมู่บ้าน 30บาทรักษาทุกโรค พักชำระหนี้เกษตรกร ธนาคารประชาชน OTOP การแก้ปัญหายาเสพติด การแก้ปัญหาความยากจน ผมและคณะรัฐมนตรี ได้พยายามทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อทำให้นโยบายเหล่านี้ปรากฎเป็นรูปธรรม เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด และยังยึดมั่นที่จะต้องทำนโยบายเหล่านี้ให้สำเร็จเป็นรูปธรรมเพื่อประโยชน์ ของพี่น้องประชาชนทั่วทั้งประเทศ ไม่ว่าจะต้องยากลำบากเพียงใดก็ตาม หรือมีผู้ที่ไม่พอใจการทำงานของผม ที่ไปขัดผลประโยชน์ส่วนตัวของเขาก็ตาม ขอแต่เพียงพี่น้องประชาชนได้เข้าใจข้อเท็จจริงและให้การสนับสนุนผมและพรรคไทยรักไทยต่อไป
ผมขอถือโอกาสนี้ชี้แจง เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริง ตามที่ถูกกล่าวหา และขอเรียนว่า ทุกเรื่อง ทุกบรรทัดมีพยานหลักฐาน ที่พร้อมจะแสดงในโอกาสอันควรทุกเมื่อ และขอให้เชื่อมั่น ว่าเจตนารมณ์ในการทำงานของผม และพรรคไทยรักไทย คือ " ไทยรักไทย หัวใจ คือประชาชน" ขอได้โปรดมั่นใจว่า ผมขอยอมตาย ดีกว่าที่จะทำชั่ว และผมจะไม่ยอมทำลาย ความไว้วางใจ ที่ประชาชนมอบให้ผม
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
หัวหน้าพรรคไทยรักไทย