นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่กลุ่ม กปปส. และทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ เตรียมยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยการสิ้นสุดสถานภาพการเป็นรัฐบาลรักษาการ เพราะไม่สามารถเปิดประชุมสภาได้ภายใน 30 วัน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 127 วรรคแรก และมาตรา 172 วรรคแรก ว่า จากที่ฝ่ายกฏหมายของพรรคได้หารือกัน เห็นว่าการตีความของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำ กปปส. เป็นการตีความเข้าข้างตัวเอง
พท.งัด รธน.181 ยันครม.ปู ยังไม่สิ้นสภาพ
เพราะยังมีกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตราอื่นที่ได้ระบุไว้ ดังนั้นรัฐบาลจะยังมีหน้าที่รักษาการจนกว่าจะมี ครม.ชุดใหม่มารับตำแหน่งตามมาตรา 181 ซึ่งทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทยยืนยันว่าจะไม่เกิดสุญญากาศทางการเมืองอย่างแน่นอน และ กกต.ก็ยังมีหน้าที่จัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จต่อไป ทั้งนี้เชื่อว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. พยายามนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง เพื่อลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ดังนั้นไม่ควรนำเรื่องนี้มาทำให้ประชาชนเกิดความสับสน
ส่วนกรณีที่นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแนะนำให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ลาออกเพื่อแก้ปัญหาให้กับประเทศนั้น โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เป็นข้อเสนอที่มีนัยทางการเมือง สอดคล้องข้อเสนอของนายสุเทพกับกลุ่ม กปปส.รวมถึงการที่กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ที่ออกมาระบุว่า การไม่สามารถเปิดประชุมสภาฯได้ภายใน 30 วัน ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีไม่สามารถรักษาการต่อไปได้
แปลกใจว่ากลุ่มเหล่านี้ทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้หรือตาบอดสีเพราะไม่เห็นว่าการเลือกตั้ง 2 ก.พ.ที่ผ่านมาไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะถูกขัดขวางจากนายสุเทพ และกลุ่ม กปปส. แทนที่จะกล่าวหากลุ่มคนเหล่านี้ กลับมาโยนบาปให้รัฐบาล
“อยากตั้งคำถามว่ากลุ่มสยามประชาภิวัฒน์เป็นพวกเดียวกันกับนายสุเทพใช่หรือไม่ ผมอยากให้นักวิชาการกลุ่มนี้ไปอ่านหนังสือดิอีโคโนมิกซ์ที่วิเคราะห์การเมืองไทยหลัง กปปส. ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ที่มีการระบุถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งหากชุมนุมยืดเยื้อก็จะส่งผลกระทบต่อไปเรื่อย ๆ เป็นสองเท่า หากยังไม่มีหนังสือดังกล่าว ผมจะส่งไปให้ที่บ้าน รวมถึงบ้านของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ด้วย ขอให้กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ตาสว่างได้แล้ว ไม่อยากให้สังคมมองว่าเป็นนักวิชาการเลือกข้าง ”นายพร้อมพงศ์ กล่าว