"นายกฯ"วอนทุกฝ่ายหันหน้าเจรจา หนุนแนวคิด "ผบ.ทบ." เจรจายุติสงครามกลางเมือง ปัดตอบเลื่อนรับทราบข้อกล่าวหา ป.ป.ช. อ้างขอหารือที่ปรึกษาก่อน
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 26 ก.พ.ที่สถานีตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม
ให้สัมภาษณ์กรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ. ) ระบุว่า หากคู่ขัดแย้งไม่ยึดกฏหมายและไม่มีการเจรจาอาจนำไปสู่สงครามกลางเมือง ว่า ตนก็เห็นด้วยและเราก็อยากให้เกิดการเจรจารัฐบาลอยากให้บ้านเมืองมีการแก้ไขปัญหาด้วยความสงบ ไม่อยากเห็นสังคมมีความแตกแย่ง จนนำไปสู่ความรุนแรง เกิดความสูญเสียของผู้คน เพราะเราเจ็บปวดกันมามากแล้ว ถ้านายสุเทพเห็นแก่ประเทศก็มาพูดคุยกัน ตนไม่ปฏิเสธเรื่องของการพูดคุย แต่การพูดคุยก็ต้องประกอบไปด้วยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะได้หันหน้ามาพูดคุยกัน สุดท้ายจะได้ผลอย่างไร ประชาชนต้องมีส่วนรู้และรับทราบและรับรู้ในการตัดสินใจร่วมกัน ถือเป็นสิ่งที่ดีที่เราจะได้หลีกเลี่ยงความรุนแรง นำไปสู่การแก้ปัญหาโดยสันติ ส่วนการที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง พยายามเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาในครั้งนี้นั้น ถือเป็นสิ่งที่ดี
แต่อย่างไรก็ตาม ขอฝากไปยังกกต. ว่า การเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้น ซึ่งตนอยากให้ฝ่ายความมั่นคง
โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (รองผอ.กอ.รมน) จะได้ถือโอกาสเข้าไปดูในเรื่องความมั่นคงและช่วยในการอำนวยความสะดวกให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างเรียบร้อย
เมื่อถามต่อว่า ผบ.ทบ.ออกคำสั่งให้ผวจ.ทุกจังหวัด ตรวจสอบความเคลื่อนไหวการชุมนุมในพื้นที่
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การตรวจสอบนั้นก็ควรจะต้องมีการดูแลกันในทุกฝ่าย เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง ซึ่งทุกฝ่ายไม่เห็นด้วยในการใช้ความรุนแรง จึงอยากให้ใช้โอกาสนี้ให้พล.อ.ประยุทธ์ เข้าไปช่วยกันอำนวยความสะดวกการจัดการเลือกตั้ง เพื่อให้พื้นที่การจัดการเลือกตั้งมีความปลอดภัย
"ดิฉันอยากเห็นความสามัคคีของคนไทยไม่ต้องการเห็นประเทศไทยเป็นเช่นที่ผ่านมา เราพยายามพูดเสมอว่า เราต้องอดทน อดกลั้นและหันหน้าเข้าหากันประเทศไทยจะต้องมีความรัก ความสามัคคี ความสงบ ถือเป็นเจตนารมย์ตั้งแต่แรกของรัฐบาลอยู่แล้วและวันนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเจตนารมย์ดังกล่าว ยืนยันอีกครั้งว่ารัฐบาลไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลังจนก่อให้เกิดความรุนแรง และต้องเรียนว่า ดิฉันยืนอยู่บนทางสายหลักของประชาธิปไตย ดิฉันยืนอยู่ในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่เป็นการยืนเพื่อรักษาตัวเอง แต่เราต้องช่วยกันในการทำให้ระบอบประชาธิปไตยเดินได้ จะเห็นว่าในหลายประเทศที่มีความรุนแรง ก็ใช้วิธีการแก้ไขปัญหาด้วยความสงบ เราก็อยากเห็นประเทศไทยเป็นเหมือนกับหลาย ๆ ประเทศที่แก้ปัญหาด้วยความสงบ เราเห็นภาพในหลายประเทศที่มีความรุนแรงจนเกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน เราไม่อยากเห็นภาพนั้นกับคนไทย จึงอยากขอร้องและวิงวอนทุกๆ ฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน เชื่อว่าวันนี้ถึงเวลาแล้ว เราไม่อยากเห็นประเทศเจ็บปวดไปมากว่านี้ " นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า ขณะนี้มีเสียงวิจารณ์ ว่า นายกฯไม่สนใจสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น กลับใช้เวลาลงพื้นที่ต่างจังหวัด
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ยืนยันว่าตนสนใจปัญหาและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่การที่เดินทางมาลงพื้นที่ต่างจังหวัดเพราะไม่ต้องการให้เกิดแรงปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับรัฐบาล เราอยากให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทำงานและเป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้วว่า ในส่วนของคำสั่งของศาลแพ่งที่ออกมาก็ต้องให้ทางศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ได้พิจารณาและทบทวนว่าวิธีการและแนวทางที่จะต้องดูแลเป็นอย่างไร ก็ต้องขอความเห็นใจ ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมีความยากจริง ๆ ถ้าจะให้ตนอยู่ กทม.แล้วทำงานก็จะกลายเป็นว่า จะต้องเกิดการเผชิญหน้ากัน ตนก็ต้องเดินทางมาทำงานในต่างจังหวัด แต่ยืนยันว่า คอยติดตามสถานการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้นในกทม.ตลอดเวลา ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายก็มีหน้าที่รับผิดชอบ ซึ่งถัาทุกคนรับผิดชอบและทำงานในหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ก็จะไม่เกิดปัญหาขึ้น
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวอีกว่า การเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในโครงการรับจำนำข้าวในวันที่ 27 ก.พ นี้ ตนขอหารือกับทีมที่ปรึกษาและคณะทำงานด้านกฎหมายก่อน ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า จะเลื่อนการขอเข้ารับทราบข้อกล่าวหานั้น ตนยังไม่ได้มีการพูดคุยกับคณะทำงาน.