ปูขู่ตัดน้ำไฟอาจเกิดความรุนแรง ย้ำชัตดาวน์กทม.ส่อบานปลาย

6 ม.ค.57 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม

เปิดเผยถึงกรณีที่กลุ่ม กปปส. ประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯวันที่ 13 ม.ค.นี้ว่า มีความเป็นห่วง เพราะสถานการณ์ในส่วนของความเชื่อมั่นเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจถือเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราไม่ได้แก้ปัญหาด้วยสันติวิธี เหตุการณ์จะบานปลาย และขอร้องกลุ่มผู้ชุมนุมว่า การชุมนุมวันที่ 13 ม.ค. เมื่อได้แสดงออกแล้วก็อย่าปิดสถานที่ราชการเลย เพราะเราไม่อยากให้สถานที่ราชการถูกปิดหรือถูกตัดน้ำตัดไฟ เพราะจะทำให้การบริหารประเทศให้เดินหน้าไปด้วยความลำบาก

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ได้พยายามที่จะหาทางออกให้ประเทศได้เดินหน้าไปข้างหน้า และเรื่องเศรษฐกิจขณะนี้หลายประเทศได้ส่งสัญญาณเตือนแล้ว ซึ่งถ้าไม่นำไปสู่การเลือกตั้ง การลงทุนต่างๆ ตลอดจนการสร้างความมั่นใจในการลงทุนก็จะทำได้ยาก และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในปี 57 นี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลมีแผนดูแลความสงบอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า
 
ใช้วิธีการบูรณาการจากทางตำรวจและทหารร่วมกัน และเน้นการดูแลปกป้องกทม. ไม่ได้เน้นที่จะทำให้ประชาชนก้าวไปสู่ความรุนแรง ได้กำชับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายใช้ความละมุนละม่อมและดูแลความปลอดภัยอย่างสันติ โดยเฉพาะในการปกป้องสถานที่ราชการ รวมถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะไม่ต้องการให้การจราจรถูกปิด หากนักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางในไฟล์ทต่างๆได้ก็น่าเป็นห่วง ขอความกรุณาให้เปิดเส้นทางการคมนาคม สถานที่ทำงานของราชการ เอกชนต่างๆ ให้สามารถเดินไป ทำงานได้ 

เมื่อถามถึงแนวโน้มประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า

เป็นทางเลือกสุดท้าย แต่ จะพยายามไม่ใช้ รัฐบาลนี้ไม่มีการยกระดับมาใช้ พรก.ฉุกเฉิน แต่ใช้การบูรณาการเจ้าหน้าที่ ในการอำนวยความสะดวก และต้องปกป้องพระนครมากกว่า การยกระดับทางรัฐเกรงว่าจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน ดังนั้น ณ เวลานี้ขอยืนยันว่ายังใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงอยู่ เมื่อถามถึงกรณีที่ผู้ชุมนุมประกาศไปปิดล้อมตัดน้ำตัดไฟบ้านนายกฯและรัฐมนตรีคนอื่นๆ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า หากทำอย่างนั้นจริงถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล คงไม่สามารถพูดอะไรได้ คงต้องอยู่ที่ประชาชนและสังคม

“ก็ขอให้เห็นใจ การตัดน้ำตัดไฟที่บ้านไม่ได้ทำให้การทำงานต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป เพราะเราทุกคนมีหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ ครม.ก็ต้องทำงาน แต่ถ้าทำแบบนั้นอาจมีความรุนแรงอาจจะกระทบกระทั่งกัน ซึ่งไม่มีใครต้องการเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ดังนั้นจึงขอความกรุณาและความร่วมมือ แล้วหันมาทางออกร่วมกันโดยการเปิดเวทีปฏิรูปประเทศ มาเสนอแนะความเห็นร่วมกันว่าต้องการให้รัฐบาลทำอย่างไร”