สะพัด!'สุเทพ'ดอดพบ'ประวิตร-ประยุทธ์'ที่ร.1รอ. คาดถกหาทางออกการเมือง เลขากปปส.จี้'ปู'เลิกรักษาการนายกฯเดินหน้าปฏิรูป วงเสวนาเชื่อประชาชนกดดันสองฝ่ายคุยกันได้
10ธ.ค. 2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา13.30 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกลุ่มประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)
ได้เดินทางไปหารือกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรณ ประธานมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผบ.ทบ. ที่กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ (ร. 1 รอ.) ซึ่งคาดว่าจะเป็นการหารือเพื่อหาทางออกให้กับสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ โดยได้มีการส่งรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า พราโด้ ไปรับนายสุเทพที่จุดนัดหมายเพื่อเข้ามาภายใน ร.1 รอ. จากนั้นได้ให้รถยนต์คันเดิมกลับออกไปในเวลาประมาณ 16.00 น.
ต่อมาเวลา 19.10 น. นายสุเทพ ขึ้นเวทีที่สวนมิสกวันอ่านประกาศ กปปส. ฉบับที่ 1/2556
เรื่องความเป็นโมฆะของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ตามที่ศาล รธน. ได้มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 20 พ.ย.2556 ความว่า ร่างแก้ไขเพิ่มเติม รธน. ที่มา ส.ว. มีสาระสำคัญ ขัดแย้งต่อหลักการพื้นฐานและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ2550 อันเป็นการทำให้ผู้ถูกร้องได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2550 ฝ่าฝืนมาตรา 68 วรรค 1 ซึ่งภายหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้วนั้น หัวหน้าพรรคเพื่อไทยในฐานะรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอื่นๆ ซึ่งเป็นผู้แทนคณะรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทน ประธานวุฒิ ส.ส. ส.ว. ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งดังกล่าวได้แถลงไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ประกอบกับนายกฯ ได้นำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ ทรงลงพระปรมาภิไธย
ทั้งที่มีเนื้อหาและกระบวนการไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 216 วรรค 5 ที่บัญญัติให้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ ให้ต้องปฏิบัติตามเป็นเด็ดขาด
และต่อมาวันที่ 9 ธ.ค 2556 นายกรัฐมนตรีได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร
โดยยังไม่ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรทั้งมาตรา 108 บัญญัติให้เป็นพระราชอำนาจ นับเป็นการกระทำอันล่วงละเมิดพระราชอำนาจอย่างชัดแจ้งที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญซ้ำแล้วซ้ำอีก ดังปรากฏตามคำแถลงการณ์ของสภาทนายความ
การกระทำทั้งหลายดังกล่าวข้างต้นถือได้ว่ารัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและพรรคร่วมรัฐบาล
ได้ร่วมกันจงใจกระทำการละเมิดรัฐธรรมนูญโดยไม่สุจริตและตั้งตนเหนือรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้รัฐบาลชุดนี้ตกเป็นโมฆะนับแต่วันที่ประกาศไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญ เนื่องจากการจงใจล่วงละเมิดรัฐธรรมนูญโดยไม่สุจริตดังกล่าว มีความร้ายแรงถึงขนาดไม่อาจให้รัฐบาลสามารถใช้อำนาจในนามของประชาชนได้อีกต่อไปดังนั้น แม้นายกฯ ได้ประกาศยุบสภาไปแล้ว ก็ไม่ส่งผลให้รัฐบาลที่สิ้นสภาพไปแล้วรักษาการต่อไปได้
เมื่อกรณีเป็นไปตามความดังกล่าวข้างต้น จึงถือได้ว่าในเวลานี้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะสูญญากาศเนื่องจากไม่มีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีกต่อไปแล้ว
จึงชอบที่จะต้องมีการดำเนินการตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยการจัดให้มีนายกรัฐมนตรี ที่ประชาชนทั้งประเทศยอมรับ เพื่อดำเนินการปฏิรูปประเทศไทยตามเจตจำนงของมวลมหาประชาชนต่อไป ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนได้มั่นใจกับหลักการประชาภิวัฒน์ ด้วยวิธีสงบ สันติ อหิงสาต่อไป และเชื่อมั่นในความเป็นรัฏฐาธิปัตย์แห่งมวลมหาชนประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงและได้ทวงกลับคืนมาไว้ได้โดยสิ้นเชิงและพร้อมที่จะประชาภิวัฒน์ประเทศไทยโดยเร็วต่อไป
ประกาศ ณ วันที่ 10 ธ.ค. 56 ลงชื่อ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.
เมื่อนายสุเทพลงจากเวทีผู้สื่อข่าวพยายามถามว่า เมื่อช่วงบ่ายได้เดินทางไปหารือเป็นการภายในกับพล.อ.ประวิตรพร้อมด้วย พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.อนุพงษ์หรือไม่ นายสุเทพ ไม่ตอบแต่อมยิ้มแล้วพูดว่าค่อยคุยกันเดี๋ยวจะบอกตอนเวลา 20.00 น.
เมื่อเวลา 20.15น.นายสุเทพได้ขึ้นเวทีปราศรัยความว่า
ในเมื่อรัฐบาลไม่ชอบธรรม ก็ไม่มีอำนาจในการรักษาการ ต้องออกไปโดยไม่ต้องให้ประชาชนบังคับ ดังนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์จะต้องถอยออกไป ลาออกจากรักษาการนายกฯ ประชาชนจะได้หานายกฯคนดีมาทำหน้าที่ต่อไป เพื่อจะได้เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปประเทศไทย จึงจะเรียกว่าถอยจริง ถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ลาออก จะชวนผู้ชุมนุมกลับบ้านทันที แต่หากถึงเวลา 22.30น.แล้วน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ลาออก กปปส.จะยกระดับการชุมนุม ที่ทำให้คนตระกูลชินวัตรทนไม่ได้ไปเอง