เมื่อเวลา17.45น.วันที่ 9 ธ.ค.2556 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส.
พร้อมแกนนำปรากฏตัวบนเวทีชั่วคราวหน้าทำเนียบรัฐบาล และอ่านแถลงการณ์กปปส.ความว่า ด้วยปรากฏข้อเท็จจริงว่า การบริหารราชการแผ่นดินโดยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อันมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ มีการใช้อำนาจภายใต้การครอบงำและสั่งการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษคดีอาญาที่หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ และใช้อำนาจเหนือรัฐบาลและรัฐสภา ซึ่งเป็นเพียงหุ่นเชิดดำเนินการ โดยมีเรื่องที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยหลายประการ มีการใช้อำนาจเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา อันเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ กฎหมายและหลักการสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย บิดเบือนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยไม่เป็นไปตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ
ด้วยการกระทำดังนี้ 1.การใช้อำนาจของรัฐสภา ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยและสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่ง ที่อยู่ภายใต้การครอบงำทางการเงินของรัฐบาลหุ่นเชิด ได้ร่วมกันใช้อำนาจมิชอบ ไม่นำพาเสียงคัดค้านของประชาชน แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อทำลายการใช้อำนาจและการตรวจสอบ จนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทำลายกลไกการตรวจสอบถ่วงดุล โดยฉ้อฉล ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ด้วยการกระทำที่ไม่ชอบด้วยคุณธรรม จริยธรรม ลงมติแทนกัน ใช้เสียงข้างมากตัดสิทธิสมาชิกรัฐสภาผู้สงวนความเห็นและแปรญัตติ ไม่ใช่การใช้เสียงข้างมากโดยไม่ชอบธรรม
ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการกระทำทั้งหมด เป็นการกระทำมีการทำลายหลักนิติธรรมและหลักประชาธิปไตย และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจปกครองประเทศโดยไม่เป็นไปตามวิถีทางบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ทั้งที่รู้ว่าคำวินิจฉัยศาลเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพัน รัฐสภา ครม. ศาล และองค์กรอื่น แต่รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี กลับเร่งนำร่างรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย โดยไม่นำพารัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยศาล ไม่สนใจว่ากระทบพระราชอำนาจเป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท นอกจากนั้นประธานสภาและประธานวุฒิสภา ตลอดจน รมว.มหาดไทย กลับแถลงชัดเจนว่า ไม่ยอมปฏิบัติตามคำวินิจฉัย การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญชัดแจ้ง ทั้งที่มีหน้าที่เคารพความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ จึงเป็นการย่ำยีต่อหลักนิติธรรม ประกาศตนอยู่เหนือรัฐธรรมนูญอีกด้วย
2.สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่นำโดยกลุ่มการเมืองเสียงข้างมาก ทำการบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งตอนแรกแถลงว่าจะนิรโทษเฉพาะผู้ร่วมชุมนุม ไม่รวมผู้สั่งการ แต่ท้ายสุดกลับตระบัดสัตย์ รวบรัดแก้ไขร่างดังกล่าวเพื่อประโยชน์ตนและพวกพ้อง ที่เป็นความผิดฐานทุจริตหน้าที่ราชการ คอร์รัปชั่น รวมถึงกระทำความผิดและนิรโทษกรรมย้อนหลังถึงปี 2547
โดยมุ่งหมายให้ลบล้างการกระทำผิด กรณีกรือเซะ ตากใบ และการกระทำตามนโยบายปราบปรามยาเสพติด ซึ่งการกระทำผิดครั้งนั้นเป็นนโยบายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีผลให้มีผู้เสียชีวิต 2,873 คน ทั้งยังรวบรัดลงมติเรื่องสำคัญดังกล่าวในเวลา 04.30 น.เป็นการทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน เป็นการนิรโทษกรรมโดยไร้เหตุผล ความเหมาะสม ขาดความชอบธรรม ไม่ยึดหลักคุณธรรม ขัดหลักนิรโทษกรรมสากลที่ห้ามนิรโทษแก่ผู้กระทำการทุจริตคอร์รัปชั่น แม้แต่ข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติยังแถลงเตือนไม่ให้กระทำการดังกล่าวมาก่อนหน้า นอกจากนี้ยังขัดหลักประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง เพราะกล่าวอ้างว่าหลักการประชาธิปไตยโดยเสียงข้างมาก เอื้อประโยชน์บางคน รวบรัด เร่งรีบ ผิดวิสัยผู้สุจริต เป็นลักษณะเผด็จการเสียงข้างมาก ไม่รับฟังเสียงข้างน้อย ทั้งยังลบล้างอำนาจฝ่ายตุลาการและองค์การตรวจสอบ ขัดหลักแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยและบทบัญญัติรัฐธรรมนูญชัดแจ้ง แม้นายกฯ จะอ้างว่ารัฐบาลไม่ได้เป็นผู้เสนอร่างดังกล่าว แต่ความจริงรัฐบาลคุมเสียงข้างมาก นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบนี้ได้
3.รัฐบาลเพิกเฉยต่อการใช้ความรุนแรงที่เป็นการกระทำผิดกฎหมายของกลุ่มมวลชนที่สนับสนุนรัฐบาล เป็นเหตุให้นักศึกษารามคำแหงถึงแก่ความตาย ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องชีวิตนักศึกษา รู้เห็นเป็นใจปิดล้อมนักศึกษา โดยไม่คำนึงหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย นอกจากนั้นรัฐบาลยังเลือกปฏิบัติ กรณีคนของฝ่ายตนเองได้รับความเสียหายจากเหตุจลาจลปี 53 ให้มีสิทธิพิเศษเหนือกว่าผู้เสียหายทั่วไป โดยได้รับการเยียวยาเหนือกว่าทหาร ตำรวจ พลเรือน ทั้งที่หลายคนเหล่านั้นเป็นผู้ต้องหากระทำผิดร้ายแรง เพียงเพื่อหวังผลทางการเมืองเพื่อให้ตนได้อำนาจรัฐโดยมิชอบ
4.รัฐบาลและรัฐสภาที่นำโดยเผด็จการเสียงข้างมาก กระทำการทั้งทางตรงและทางอ้อมสร้างความแตกแยกในสังคมไทยรุนแรง ร้าวลึก กว้างขวาง ปฏิบัติยุยง หลอกหลวงในหมู่ประชาชน มีการข่มขู่ใช้ความรุนแรงต่อประชาชนและผู้ปฏิบัติหน้าที่ในองค์กรตุลาการ แต่รัฐบาลไม่ดำเนินการใดๆ ขณะที่ผู้ชุมนุมที่ไม่เห็นด้วยกลับถูกรัฐบาลใช้กฎหมายเล่นงานเต็มที่ เป็นการกระทำสองมาตรฐานเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับที่รัฐบาลเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมชุมนุมโดยสงบ ทั้งที่ตนเป็นผู้ฉีกรัฐธรรมนูญก่อนผู้อื่น อันเป็นการเลือกใช้รัฐธรรมนูญ คนเสียประโยชน์กลับไม่ยอมรับ เป็นการกระทำยิ่งกว่ามือถือสากปากถือศีล
5.รัฐบาลใช้อำนาจในการบริหารแผ่นดิน เล่นพรรค เล่นพวก ข่มเหงรังแกข้าราชการ แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แต่งตั้งผู้ด้อยประสบการณ์ความรู้ ความสามารถ และพวกพ้องของตนให้ดำรงตำแหน่งสูง เข้ามาบริหารหน่วยราชการเพื่อรับใช้ พ.ต.ท ทักษิณ เจ้าของตัวจริงของรัฐบาล ทำให้เกิดความเสียหายต่อหลักคุณธรรมและธรรมาภิบาล
6.รัฐบาลกระทำการทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชกาารและหน่วยงานรัฐ แพร่หลายกว้างขวาง นำมาซึ่งความเสียหายแก่ชาติ ประชาชน ในด้านเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทำให้ระบบการเงิน การคลัง ได้รับความเสียหาย มีการก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลงอย่างรุนแรง เช่น โครงการจำนำข้าว ที่มีการทุจริตและเกิดความเสียหายของประเทศ ต้องกู้เงินหลายแสนล้านและมีการกระทำส่อในทางทุจริตและส่อคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่มีการออกกฎหมายโดยฉ้อฉล การลงมติของสภาผู้แทนราษฎรและมีแนวโน้มนำไปสู่การทุจริตและความล้มเหลว สร้างหนี้ผูกพันประเทศชาติโดยไม่มีเหตุผลสมควร การทุจริตดังกล่าวผู้ได้ประโยชน์สูงสุดคือพ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ทั้งมีการกระทำอุกอาจ ซึ่งหามีความละอายไม่
ดังนั้น กปปส.ซึ่งประกอบด้วย มวลมหาประชาชน ข้าราชการ พลเรือน ทหาร ตำรวจ จึงไม่อาจยินยอมให้กลุ่มการเมืองเผด็จการเสียงข้างมากและทุนนิยมผูกขาดร่วมสมทบใช้เผด็จการรัฐสภา ทำการหักหลังความไว้วางใจประชาชน ทำลายดุลยภาพการใช้อำนาจอธิปไตยและกระทำการให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยไม่เป็นไปตามครรลองและวิถีทางประชาธิปไตย เมื่อรัฐบาลที่มีหน้าที่บริหารแผ่นดินเพื่อความผาสุกปวงชนกลับทรยศประชาชนด้วยการใช้อำนาจที่ไว้วางใจมาจากการเลือกตั้ง เพื่อความผาสุกของพ.ต.ท.ทักษิณ ครอบครัวและบริวาร ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ในอำนาจตัวแทนนั้นต่อไป
"อาศัยอำนาจประชาชนตามมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติหลักการว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ขอประกาศว่า มวลมหาประชาชน ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ ผู้รักความเป็นธรรม ที่ได้แสดงพลังร่วมกันอย่างที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ มีความจำเป็นต้องพิทักษ์หลักการสำคัญในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จึงใช้สิทธิมวลมหาประชาชน เรียกคืนอำนาจจากกลุ่มดังกล่าวนั้น คืนกลับประชาชนผู้มีอำนาจสูงสุด อันเป็นการประชาภิวัฒน์ เพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ขจัดอันตรายอันเกิดจากการทุจริตคอร์รัปชั่นให้หมดไป และดำเนินการทางการเมืองให้เกิดความเป็นธรรมอย่างแท้จริงแก่ประชาชนทุกภาคส่วน"
นายสุเทพกล่าวอีกว่า กปปส.ขอประกาศยืนยันแทนมวลมหาประชาชนว่า
พวกเราทั้งหลายปวงชนชาวไทยมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และจะร่วมพิทักษ์ราชบัลลังก์ด้วยชีวิต อนึ่ง กปปส.จะยึดมั่นพันธกรณีระหว่างประเทศและจะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับองค์กรระหว่างประเทศทุกประการ และขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกคนในการสร้างอนาคตที่เป็นธรรม ผาสุก สงบ และสันติ เพื่อลูกหลานอันเป็นอนุชนรุ่นหลังสืบต่อไป
นายสุเทพได้ปราศรัยต่อความว่า จากแถลงการณ์นั้นแสดงว่าประชาชนได้เอาอำนาจกลับคืนมาเรียบร้อยแล้ว ต่อไปนี้จะมีการเลือกตั้งสภาประชาชนทำหน้าที่เลือกนายกรัฐมนตรีและทำหน้าที่นิติบัญญัติ
"ส่วนเราประชาชนจะนอนข้างถนน และคณะกรรมการ กปปส. จะเรียกข้าราชการเหล่านั้นมารายงานตัว ใครมาก็แสดงอยู่ข้างประชาชน ใครไม่มาก็อยู่ข้างระบอบทักษิณ อยู่ใต้กระโปรงน.ส.ยิ่งลักษณ์ จากนี้พวกผมจะทยอยประกาศเพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง คืนนี้อยากจะส่งข่าวสารไปยังพี่น้องประชาชนที่รักชาติ รักประเทศ เชื่อว่า ตำรวจก็คงตกใจ งง ไม่รู้จะเข้าข้างใครแล้ว คณะกรรมการ กปปส. ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน ทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน จัดตั้งกองกำลังอาสารักษาความสงบ ดูแลความปลอดภัยประชาชน แทนตำรวจที่กำลังมึนหัวอยู่ ต้องการหัวใจใหญ่ๆ เท่านั้นเอง เดี๋ยวจะไปประชุมปรึกษากันว่าจะไปอย่างไรต่อ สู้กันมาขนาดนี้ให้รู้แล้ว รู้รอดไปเลย" นายสุเทพ กล่าวทิ้งท้าย