ทูตวีรชัย แจงยังสรุปคำพิพากษาของศาลโลกไม่ได้ ต้องรอหารือผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ก่อน

เมื่อวันที่ 13พ.ย.เวลา 22.30 น.ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 17(สมัยสามัญทั่วไป

เพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่ครม.เป็นผู้เสนอ ภายหลังการอ่านคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) คดีปราสาทพระวิหาร เมื่อวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา มีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม

นายกษิต ภิรมย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรมว.ต่างประเทศ อภิปรายว่า

ตนขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยอย่าเร่งตัดสินใจเข้าพบฝ่ายกัมพูชา เพื่อพบปะหรือเจรจากันหลังจากมีคำพิพากษาของศาลโลก ต่อคดีปราสาทพระวิหาร เนื่องจากกังวลว่าอาจจะถูกหยิบยกให้เข้าข่ายกฎหมายปิดปากได้ นอกจากนั้นแล้วการเจรจาควรทำในรูปแบบของคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ซึ่งตนมองว่ามีความเหมาะสมมากกว่าการใช้กลไกของคณะกรรมการร่วมไทย-กัมพูชา (เจซี)

ด้านนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์

ในฐานะหัวหน้าคณะการดำเนินการทางกฏหมายฝ่ายไทย คดีปราสาทพระวิหาร ชี้แจงต่อที่ประชุมว่าตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะตอบว่าประเทศไทยจะเสียอะไร เท่าไร เพราะต้องรอหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่และที่ปรึกษาก่อน โดยข้อเท็จจริงคำบรรยายของศาลมีผลออกได้หลายทาง ส่วนกรณีที่มีการอภิปรายโดยอ้างถึงแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ปี 2551 นั้น โดยกัมพูชาได้อ้างว่าแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวประเทศไทยได้ยอมรับสิทธิ์ของกัมพูชา แต่ฝ่ายไทยโต้ตอบไปว่าการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารหลังแถลงการณ์ร่วม ไม่มีส่วนใดของทรัพย์สินล้ำเส้นตาม มติ ครม. โดยไทยไม่ได้รองรับสิทธิ์ใดๆ ของกัมพูชา

“ส่วนที่ศาลยกวรรค 98 มาบรรยายนั้น ไม่มีถ้อยคำใดที่ระบุถึงการกำหนดเขตแดน แต่ตามกฎหมายคือสิ่งศาลตัดสิน หมายถึงขอบเขตพื้นที่ใกล้เคียง ไม่ใช่เขตแดน” นายวีรชัย ชี้แจง