12 พ.ย.56 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
กล่าวถึงเงื่อนไขที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.สุราษฎรธานี พรรคประชาธิปัตย์ พยามยามพูดถึงการชุมนุมของคนเสื้อแดง ว่า การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงก็เพื่อที่จะพูดความจริงในสถานการณ์นี้ ต้องไม่ลืมว่าสังคมไทย ถ้ามีฝ่ายใดพูดหรือใส่ร้ายป้ายสีอยู่เพียงฝ่ายเดียว ผู้คนก็อาจจะเผลอใจเชื่อ และเมื่อกลายเป็นความเชื่อแล้ว ก็ยากที่จะอธิบายข้อเท็จจริงได้ นี้เป็นความพยายามเท่านั้นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราเห็นว่า ความเคลื่อนไหวนี้ต้องการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทำลายกระบวนการประชาธิปไตย ก็เป็นหน้าที่ที่จะออกมาปกป้อง แต่จะไม่ใช้ความรุนแรง ไม่มีการเผชิญหน้า อย่างที่การชุมนุม เมื่อวันที่ 10 พ.ย.เดิมที่ได้ติดต่อที่สนามศุภชลาศัย แต่มีคนทักว่าใกล้กับที่ชุมนุมของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ย้ายไปชุมนุมที่เมืองทอง และเมื่อคืนวันที่ 11 พ.ย.ก็ไปตั้งหลักที่ จ.ขอนแก่น วันนี้ไปตั้งที่ จ.เชียงใหม่ ห่างกัน 600 - 700 กิโลเมตร คงไม่ยกพลมาตีกันง่ายๆ
เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการตั้งเวทีชุมนุมในกรุงเทพฯ แกนนำ นปช.กล่าวว่า
เราต้องประเมินสถานการณ์ เราอยากจะให้เรื่องนี้ใช้กลไกของระบอบประชาธิปไตยในการแก้ปัญหา พรรคฝ่ายค้านไม่กี่วันก็จะมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนปิดสมัยประชุมสภาอยู่แล้ว แล้วเอาทุกเรื่องที่อยู่บนเวทีไปว่ากันในสภา เพราะไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีทั้งคณะอยู่แล้ว แต่ว่ามีเจตนาชัดคือ ไม่ไว้วางใจก็จะยื่น แต่เวทีก็จะเอา ก็เลยให้นายสุเทพ และ ส.ส.จำนวนหนึ่ง ลาออกเพื่ออธิบายว่ามันแตกต่างกัน แล้วก็เดินทั้งสองแบบทั้งในและนอกสภาเท่านั้นเอง
เมื่อถามว่า ประเมินสถานการณ์หลังจากนี้อย่างไร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า คงจะมีความพยายามยกระดับกันทุกวัน
ตนยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่าการชุมนุมนี้เรียกอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเรียกว่า ม็อบประชาธิปัตย์ แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะพยายามใส่เสื้อคลุมล่องหนเพื่อปิดบังตัวเอง แล้วจดใส่บัญชีไว้ ว่าม็อบประชาธิปัตย์ยุยงไม่ให้คนเสียภาษี ยุยงให้คนหยุดงาน โค่นล้มรัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้ง โดยร่วมมือกับกลไกอำนาจนอกระบบทั้งหลาย