ฟ้องกลับ เปมิกา! เรียก 27ล้าน - ศาลนัด 22 พ.ค.นี้

ฟ้องกลับ "เปมิกา"! เรียก 27ล้าน - ศาลนัด 22 พ.ค.นี้


ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางสนามหลวง นายทองหลาง แพงศรีละคร ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก นางอลิสา ทมทิตชงค์ ภรรยาของ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์

ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ศิวพร หรือเปมิกา เหลืองเรณูกุล หรือ วีรชัชรักษิต เป็นจำเลย เรื่องเป็นหญิงอื่นที่แสดงตนทำนองชู้สาว เรียกค่าทดแทนจำนวนทุนทรัพย์ 27 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี


ตามฟ้องโจทก์ระบุความผิดสรุปว่า


นางอลิสา โจทก์ เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ โดยสมรสกันตามประเพณีอยู่กินฉันท์สามี ภรรยา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 มีบุตรด้วยกัน 2 คน ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 126/35 ซอยเรวดี 34 ถนนเรวดี ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี ต่อมาโจทก์กับสามี พร้อมด้วย นายช่วง กับ รศ.เพลินจิต ทมทิตชงค์ ซึ่งเป็นบิดาและมารดาของสามี

รวมทั้ง นพ.ประกิตพันธ์ พี่ชายของสามี ได้เปิดกิจการโรงเรียนกวดวิชาร่วมกัน โดยใช้ชื่อว่า สถาบันกวดวิชา แอพพลายด์ ฟิสิกส์ ซึ่งก่อนหน้านี้ใช้ชื่อโรงเรียนกวดวิชาฟิสิกส์ อ.ช่วง เป็นสถาบันกวดวิชาที่มีชื่อเสียงปรากฏแพร่หลาย ได้รับการยอมรับในความเป็นเลิศทางวิชาการ จากนักศึกษาและบุคคลทั่วไป ทั้งนี้โจทก์สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาโท และมีประสบการณ์ในการทำงานจึงได้ลาออกจากงานที่มั่นคง เพื่อมาร่วมทำกิจการสถาบันกวดวิชาดังกล่าวกับครอบครัวด้วย

ต่อมาเมื่อประมาณกลางปี พ.ศ.2549 จำเลยได้เข้ามาตีสนิทกับ นพ.ประกิตเผ่า สามีโจทก์ และได้มีความสัมพันธ์สนิทสนมกันมากขึ้น จนกระทั้งถึงต้นปี พ.ศ.2550 มาจนถึงวันฟ้องคดีนี้ จำเลยได้บังอาจแสดงตนเปิดเผยต่อสาธารณะชนและบุคคลทั่วไปว่า มีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาว

กล่าวคือจำเลยได้แสดงออกอย่างเปิดเผย ต่อบุคคลทั่วไปอ้างความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวระหว่างจำเลยกับสามีโจทก์ โดยแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า การที่มารดาและพี่ชายของสามีโจทก์นำสามีโจทก์ไปรักษาพยาบาล ที่ รพ.ศรีธัญญา จ.นนทบุรี นั้น เป็นการสมคบร่วมกันนำตัวสามีโจทก์ ไปคุมขังโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ทั้งที่ความจริงแล้วสามีโจทก์ป่วยเป็นโรคจิตเวช อันนำมาซึ่งผลแห่งคดีนี้ จำเลยมุ่งหวังที่จะนำสามีโจทก์ไปอยู่กับจำเลย อันเป็นการใช้สิทธิที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ บิดา มารดา และพี่ชายของสามีโจทก์ และยังเกิดความเสียหายแก่ รพ.ศรีธัญญา ด้วย


นางอลิสาระบุฟ้องอีกว่า


นอกจากนี้จำเลยยังได้ให้ข่าวต่อสื่อมวลชนทุกแขนง โดยเปิดเผยถึงความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาว กับสามีโจทก์อีกหลายครั้ง สรุปความได้ว่า สามีโจทก์มีปัญหากับครอบครัว โดยภรรยาไม่ดูแล เอาแต่เงิน มีปัญหาทะเลาะกันตลอด ซึ่งไม่เป็นความจริงตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ทั้งนี้จำเลยอ้างว่าสามีโจทก์ได้มาระบายและปรึกษากับจำเลย จนทำให้สามีโจทก์และจำเลยเข้าใจกันและชอบพอกัน สามีโจทก์ต้องการหย่าขาดกับโจทก์

ประกอบกับจำเลยยังได้ให้ข่าวถึงความสัมพันธ์กล่าวอ้างไปถึงเหตุการณ์ในครอบครัวโจทก์หลายประการว่า สามีโจทก์ไม่มีเพื่อนที่ไหน เมื่อมีความทุกข์ก็มาปรับทุกข์ โดยจำเลยไม่สนใจว่าใครจะหาว่าจำเลยเป็นมือที่สาม หรือเป็นเมียน้อย และยังได้กล่าวไปถึงความสัมพันธ์ทางเพศว่า ทุกครั้งที่สามีโจทก์หลั่งน้ำอสุจิออกมานั้น จะออกมาเป็นเลือด จำเลยมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์เกินกว่าเพื่อนสนิท ฯลฯ

การกระทำของจำเลยทั้งหมดนี้ จำเลยได้แสดงตนโดยชัดเจนเปิดเผยโดยที่โจทก์ไม่รู้เห็นเป็นใจและยินยอม ให้สามีโจทก์และจำเลยกระทำดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อความสัมพันธ์อันดี และการกินอยู่ฉันท์สามีภรรยา ยังความเสียหายไปยังบิดา มารดา ญาติมิตรของโจทก์ และสามีโจทก์อีกด้วย


ท้ายคำฟ้องระบุด้วยว่า


โจทก์ขอให้ศาลใช้อำนาจบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ดังนี้ ค่าทดแทนจัดการที่จำเลยมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์โดยเปิดเผย ในทำนองชู้สาว จำนวน 12 ล้านบาท ค่าเสียหายจากการกระทำให้โจทก์และบุตรของโจทก์ต้องทุกข์ระทม ตรมใจอย่างแสนสาหัสอันเป็นความเสียหายต่อสุขภาพจิต และอนามัยของโจทก์ และบุตรทั้งสอง เป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาท ค่าเสียหายเกี่ยวกับเกียรติยศ ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล และทางทำมาหาได้

โดยโจทก์ต้องถูกตำหนิ ติฉินนินทาจากสังคมที่ไม่รู้ซึ้งถึงความจริง หลังจากที่จำเลยกล่าวหาโจทก์ไปในทางเสียหาย ไม่ทำหน้าที่เป็นภรรยาที่ดี เช่นไม่ดูแลสามี เอาแต่เงิน จนสามีโจทก์ต้องมาระบายและปรึกษากับจำเลย โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 5 ล้านบาท รวมค่าเสียหายตามฟ้อง เป็นเงินจำนวน 27 ล้านบาท และดอกเบี้ยอีกร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปด้วย

ซึ่งศาลรับคำฟ้องไว้และนัดพร้อมคู่ความ ในวันที่ 22 พ.ค. 50 เวลา 09.00 น.



ขอขอบคุณ : ข้อมูลข่าวที่มีคุณภาพ

จาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์