ศาลสั่งไม่ปล่อย หมอเผ่า - น้องเป พ่าย! ทนายฟ้องกลับ200ล้าน
สรุปป่วยจริง-ยกคำร้อง แม่ไม่คิดจองเวรกับใคร เมียใจพระสงสารเปมิกา
เปมิกา แพ้น็อกกลางศาล เมื่อศาลมีคำสั่งยกคำร้องที่ขอให้ปล่อยตัว ประกิตเผ่า หลังศาลพิจารณาคำเบิกความของจิตแพทย์ทั้งของ รพ.ศรีธัญญา สถาบันกลัยาณ์ฯ ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย สอดคล้องกันว่าเป็นผู้ป่วยโรคจิต รวมทั้งศาลเผชิญสืบด้วยตัวเอง จึงไม่ได้เป็นการควบคุมตัวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย แต่เป็นการควบคุมตัวไว้เพื่อรักษาอาการป่วยทางจิต
ด้านครอบครัว ทมทิตชงค์ ดีใจ
พร้อมกับให้คนไข้รักษาต่อไปในสถาบันกลัยาณ์ฯ ประกิตพันธ์ อยากถามคู่ความสาวว่า เป็นใครทำไมมาทำให้ครอบครัวเสียหายวุ่นวายได้ขนาดนี้ ขณะที่ น้องเป ถูกฟ้องกลับอ่วมอรทัย ทั้งเป็นชู้ หมอเผ่า แถมโดนเรียกค่าเสียหายอีก 200 ล้าน เช่นเดียวกับศรีธัญญาจ่อฟ้องทั้งอาญาและแพ่งด้วย แต่ตำรวจบางซื่อไม่หวั่นถูกฟ้องกลับ ส่วนกรมสุขภาพจิตโล่งอกที่ไม่ต้องตกเป็นจำเลยของสังคมที่ถูกมองว่าเอาคนดีไปรักษาจนกลายเป็นคนบ้า
ประชาชนยังคงให้ความสนใจ
ในเรื่องราวของ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ เจ้าของสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ ถูก นพ. ประกิตพันธ์ ทมทิตชงค์ รศ.เพลินจิต ทมทิต ชงค์ และนางอลิสา ทมทิตชงค์ พี่ชาย มารดา และภรรยา นำตัวเข้ารักษาอาการป่วยทางจิตใน รพ.ศรีธัญญา เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา
แต่ นพ.ประกิตเผ่า ได้โทรศัพท์บอก น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต
อายุ 24 ปี นิสิตจุฬาฯคณะจิตวิทยา ปี 4 เพื่อนสาวคนสนิท ให้ช่วยเหลือนำตัวออกจาก รพ. น.ส.เปมิกา จึงเข้าร้องทุกข์กับ พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น พงส.(สบ3) สน.บางซื่อ ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งให้ รพ.ศรีธัญญา ปล่อยตัว นพ.ประกิตเผ่า เนื่องจากควบคุมตัวไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย จนวันที่ 2 มี.ค. ศาลมีคำสั่งให้นำ นพ.ประกิตเผ่า เข้ารักษาในสถาบันกัลยาณ์ ราชนครินทร์ โดยศาลเริ่มไต่สวนในวันที่ 9 มี.ค. มีการนำพยานทั้งสองฝ่ายขึ้นเบิกความทั้งวัน ศาลจึงนัดไต่สวนอีกครั้งในวันที่ 12 มี.ค.นี้ โดยนำพยานที่เหลืออีก 2 ปากขึ้นเบิกความ พร้อมกับจะพิจารณาตัดสินในวันเดียวกัน ตามที่ "เดลินิวส์" เสนอข่าวไปให้ทราบอย่างต่อเนื่องนั้น
คู่ความสองฝ่ายมารอลุ้น
ที่ห้องพิจารณาที่ 704 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 มี.ค. ศาลโดย นายวิชัย ช้างหัวหน้า รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และนายพิทักษ์ เริ่มก่อกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญา ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคดีที่ พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น พนักงานสอบสวน สบ 3 สน.บางซื่อ ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัว นพ.ประกิตเผ่า ทม ทิตชงค์ ที่ถูกควบคุมตัวใน รพ.ศรีธัญญา โดย มิชอบด้วยกฎหมาย
สำหรับการไต่สวนในวันนี้
มี รศ.เพลินจิต นพ.ประกิตพันธ์ และ นางอลิสา ทมทิตชงค์ มารดา พี่ชาย และภรรยา ของ นพ. ประกิตเผ่า เดินทางเข้าฟังการไต่สวน ขณะที่ฝ่ายผู้ร้องมี น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต เพื่อนสาวคนสนิท ของ นพ.ประกิตเผ่า พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น และ ร.ต.ท.ไอศูรย์ อินทร รอง สวส.สน. บางซื่อ นอกจากนี้ยังมีบุคคลที่เกี่ยวข้องอาทิ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ผอ.รพ.ศรีธัญญา นพ. ไพฑูรย์ สมุทรสินธุ์ แพทย์เจ้าของไข้ที่ รพ.ศรีธัญญา พญ.ดวงตา ไกรภัสร์พงษ์ แพทย์เจ้าของไข้ จากสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เข้าร่วมฟังการไต่สวนอย่างพร้อมเพรียง
พ.ต.ท.อุ้ม "หมอเผ่า" เบิกความ
โดยวันนี้ศาลได้เบิกตัว พ.ต.ท.ธีรศักดิ์ ภิญโญ ผบ.ร้อย 3 กก.2 (ป้องกันและปราบปรามจลาจล)บก.ตปพ.(191) ขึ้นเบิกความเป็นพยานปากที่ 10 สรุปว่า พยานเข้ามาเกี่ยวกับเรื่อง นี้ เนื่องจากเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 50 ได้รับโทรศัพท์ จาก นพ.ประกิตพันธ์ ซึ่งเป็นเพื่อนรู้จักกันมาเมื่อปี 2528 เมื่อครั้งที่ นพ.ประกิตพันธ์ ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขอให้ตนเดินทางไปเป็นเพื่อนเพื่อนำตัว นพ.ประกิตเผ่า ไปรักษาตัว
โดย นพ.ประกิตพันธ์ แจ้งว่า นพ.ประกิตเผ่า มีอาการหวาดระแวง
นอกจากนี้ทรัพย์สินของ นพ.ประกิตเผ่า ยังสูญหายไปจำนวนมาก มีพฤติกรรมชอบพกปืน ใส่เสื้อเกราะ ตลอดเวลา จึงต้องการนำตัวน้องชายไปตรวจรักษา จึงนัด นพ.ประกิตเผ่า ให้มาพบที่ว่าการ อำเภอพุทธมณฑล จ.นครปฐม เวลา 10.00 น. วันที่ 19 ก.พ. 50 ส่วนเหตุที่พยานให้ความช่วยเหลือ เพราะเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน และ เห็นว่าการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวไม่ได้ทำผิดกฎหมาย หรือผิดศีลธรรมแต่อย่างใด
ยันมีอาการหวาดระแวง
พ.ต.ท.ธีรศักดิ์ เบิกความต่อไปว่า กระทั่งวันที่ 19 ก.พ. 50 เวลา 08.30 น. ได้นัดหมายให้ รศ.เพลินจิต และ นพ.ประกิตพันธ์ ไปพบกันที่ สภ.อ.พุทธมณฑล เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งขอให้ ผกก.สภ.อ. พุทธมณฑล จัดหาตำรวจ 2 นาย เพื่ออำนวยความสะดวก จากนั้นจึงเดินทางไปด้วยรถกระบะสองตอน ตราโล่ ของตน ต่อมาเวลา 10.00 น. จึงได้พบ นพ.ประกิตเผ่า ที่หน้าที่ว่าการอำเภอพุทธมณฑล
ตนสังเกตเห็นว่า นพ.ประกิตเผ่า มีอาการหวาดระแวง
สวมเสื้อเกราะอยู่ภายใน โดยสวมเสื้อแจ๊กเกตคลุมอยู่ ตนจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมกับบอกว่า ไม่ต้องกลัว จะพาไปรักษา โดยที่ นพ.ประกิตเผ่า ยินยอมขึ้นรถโดยดีนั่งที่เบาะหลัง ระหว่างเดินทางไป รพ.ศรีธัญญา ตนได้สอบถามถึงปืน นพ.ประกิตเผ่า บอกว่า มีปืน 3 กระบอก เก็บไว้ในรถ แต่ที่ไม่เอามาเนื่องจากเห็นว่าเดินทางไปกับตำรวจมีความ ปลอดภัยแล้ว
ตนได้บอกให้ นพ.ประกิตเผ่า ถอดเสื้อเกราะออก แต่ นพ.ประกิตเผ่า ปฏิเสธไม่ยอมถอด นอกจากนี้ยังมีอาการหวาดระแวง กระทั่งเดินทางไปถึง รพ.ศรีธัญญา ในเวลา 10.30 น. จากนั้นตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอีก เนื่องจากคนไข้อยู่ในความดูแลของแพทย์แล้ว
ยอมรับส่งลูกน้อง1คนไปเฝ้า
เมื่อศาลถามย้ำว่า พยานเป็นคนสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปดูแล นพ.ประกิตเผ่า ที่ รพ.ศรีธัญญา หรือไม่
พ.ต.ท.ธีรศักดิ์ เบิกความว่า ในวันที่ 20 ก.พ. 50 รศ.เพลินจิต ได้ขอให้ตนดูแลความปลอดภัยให้ เนื่องจากเกรงว่าจะมีคนไปก่อกวนคนไข้ ที่มีลักษณะเป็นแก๊งต้มตุ๋นตามมาอีก จึงได้จัดหาลูกน้องไปเฝ้าจำนวน 1 นาย แต่ยืนยันว่าไม่ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่คอมมานโดไปเฝ้าดูแลแต่อย่างใด
ส่วนในคำให้การของผู้ร้องระบุว่า พบว่ามีตำรวจกองปราบปรามติดตามกลุ่มของ รศ.เพลินจิต ด้วยนั้น
เป็นเรื่องเข้าใจผิด เนื่องจากก่อนหน้านั้นตนได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม จับกุมคนร้ายในคดียาเสพติด แต่ยังไม่ลงบันทึกการจับกุม จึงได้นัดหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ นำเอกสารมาให้เซ็นชื่อในวัน ดังกล่าว ซึ่งทุกครั้งที่เดินทางไป รพ.ศรีธัญญา ไม่ได้พกปืนเข้าไป เพราะทราบถึงระเบียบของ รพ.
เป็นคนประสานตร.บางซื่อ
พ.ต.ท.ธีรศักดิ์ เบิกความต่อว่า แต่ในวันที่ 20 ก.พ. ได้พบ ร.ต.ท.ไอศูรย์ อินทร และ พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น ที่เดินทางไปสอบถามข้อมูลของ นพ.ประกิตเผ่า ที่ รพ. ตนได้แจ้งกับทั้งสองว่า หากต้องการข้อมูลอะไร จะประสานหาข้อมูลให้ โดย ร.ต.ท.ไอศูรย์ แจ้งว่า น.ส.เปมิกา ได้ร้องทุกข์ว่า มีการควบคุม นพ.ประกิตเผ่า โดยไม่ชอบ
ตนเห็นว่าอาจมีการเข้าใจผิด จึงติดต่อให้ รศ.เพลินจิต และ นพ.ประกิตพันธ์ ทราบ
เมื่อฝ่าย รศ.เพลินจิต เดินทางไปถึง รพ.จึงได้เดินเข้าไปภายในอาคารประสาทวิทยา ก่อนที่ นพ.ประกิตพันธ์ จะเปิดประตูให้ทางพนักงานสอบสวนเห็นสภาพของ นพ.ประกิต เผ่า ที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ โดยที่ตนได้อธิบายให้ฝ่าย รศ.เพลินจิต เข้าใจถึงการทำหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ว่า เมื่อมีผู้ร้องทุกข์ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องรับเรื่องไว้และดำเนินการสอบสวน จากนั้นตนได้แนะนำให้ รศ.เพลินจิต และ นพ.ประกิตพันธ์ เดินทางไปที่ สน.บางซื่อ เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน พร้อมนำเอกสาร ใบรับรองแพทย์เพื่อแสดงเป็นหลักฐาน
ปลัดอำเภอพยานปากสุดท้าย
ต่อจากนั้นศาลไต่สวนพยานปากสุดท้าย คือ นายธวัชชัย แก้วคงคา ปลัดอำเภอพุทธมณฑล ขึ้นเบิกความว่า รู้จักกับ นพ.ประกิตเผ่า มานาน 2-3 ปี ขณะที่ทำหน้าที่ดูแลงานทะเบียน เพราะ นพ.ประกิตเผ่า ปลูกบ้านที่สนามกอล์ฟ รอยัล เจมส์ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ อ.พุทธมณฑล และ ได้ยื่นคำร้องขอทะเบียนบ้าน จึงดำเนินการเรื่องทะเบียนบ้านให้
โดยพยานพบกับ นพ.ประกิตเผ่า ครั้งสุดท้าย เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 19 ก.พ. 50
ขณะเดินทางไปที่ว่าการอำเภอพุทธมณฑล เพื่อต้องการพบกับนายอำเภอ ให้ช่วยดำเนินการเรื่องจดทะเบียนหย่ากับภรรยา แต่ในวันนั้นนายอำเภอติดประชุม ตนจึงแจ้งว่าเรื่องการหย่าร้างนั้นในฐานะปลัดสามารถเซ็นหนังสือให้ได้ และสอบถาม นพ.ประกิตเผ่า ว่าได้นำทะเบียนสมรสตัวจริงทั้ง 2 ฉบับ มาด้วยหรือไม่ นพ.ประกิตเผ่า แจ้งว่าไม่ได้นำมา พยานจึงให้กลับไปนำทะเบียนสมรสมาจัดการเรื่องการหย่าร้าง พร้อมกำชับตนว่า หาก นางอลิสา ทมทิตชงค์ ภรรยา เดินทางมาขอให้รอก่อน
ขณะที่เดินไปส่ง นพ.ประกิตเผ่า ยังลานจอดรถ
ได้พบกับ รศ.เพลินจิต ที่ทราบภายหลังว่าเป็นมารดาของ นพ.ประกิตเผ่า แจ้งว่า นพ.ประกิตเผ่า ไม่มีความประสงค์จะหย่าร้างแล้ว เพราะสามารถตกลงกันได้แล้ว ตนจึงกล่าวแสดงความยินดี
ระบุ ประกิตเผ่า อาการปกติ
ศาลได้ถามว่า อาการภายนอกของ นพ. ประกิตเผ่า ผิดปกติหรือไม่ นายธวัชชัย กล่าวว่า จากการพูดคุยกันประมาณ 5-10 นาที พบว่า นพ.ประกิตเผ่า ดูเป็นปกติ เพียงแต่ใส่เสื้อผ้ารัดกุมมิดชิดเป็นพิเศษ โดยสวมเสื้อแจ๊กเกตสีดำรูดซิปมิดชิด ใส่กางเกงยีน รองเท้าหนังสีดำ อย่างไรก็ตาม โดยปกติ นพ.ประกิตเผ่า มักสวมเสื้อแจ๊กเกตคลุมเป็นประจำ แต่จะไม่รูดซิป โดย นพ.ประกิตเผ่า กล่าวกับตนว่า เหตุที่ต้องหย่าขาดจากภรรยา เนื่องจากทนมานานหลายเดือนแล้ว พยานเบิกความเรื่องอื่นแล้วเสร็จ
ศาลนัดฟังคำสั่งห้าโมงเย็น
ศาลได้อ่านกระบวนการพิจารณาว่า จากการไต่สวนพยานทั้ง 11 ปากเห็นว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะมีคำสั่งได้ จึงนัดคู่ความ ทั้งสองฝ่ายมาฟังคำสั่งในเวลา 15.00 น. วันเดียวกันนี้ แต่ภายหลังศาลได้แจ้งคู่ความขอเลื่อนเวลาฟังคำสั่งไปเป็นเวลา 17.00 น. เนื่องจากการไต่สวนคดีนี้เป็นที่สนใจของสังคมและประชาชนทั่วไป องค์คณะผู้พิพากษาจึงต้อง ใช้เวลาในการประชุมพิจารณากันอย่างรอบคอบก่อนที่จะมีคำสั่ง
ศาลสั่งยกคำร้องของตำรวจ
ในที่สุดนาทีที่คู่ความทั้งสองฝ่ายรอคอยก็มาถึง ต่อมาเวลา 17.00 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์มีคำสั่งยกคำร้องของ พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น พงส. สบ 3 สน.บางซื่อ ที่ขอให้ปล่อยตัว นพ.ประกิตเผ่า เมื่อข้อเท็จจริงแห่งคดีได้ข้อยุติจากการตรวจรักษาโดยแพทย์ คณะแพทย์จาก รพ.ศรีธัญญา และสถาบันกัลยาณ์ฯ โดยได้ร่วมกับคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชหลายท่าน และได้รับความร่วมมือจากราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ตรวจ และวินิจฉัยอาการของผู้ถูกคุมขังถูกต้องตรงกัน ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ได้จากการเดินเผชิญสืบของศาล ทำให้ได้ข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏข้อสงสัยว่า ผู้ถูกคุมขังมีอาการป่วยทางจิตจริง และจำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์
ดังนั้นการที่ รพ.ศรีธัญญา ซึ่งเป็นสถานที่รับตัว นพ.ประกิตเผ่า ผู้ถูกคุมขังไว้ในความควบคุมดูแล
จึงมิใช่เป็นการคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย แต่เป็นการควบคุมตัวไว้เพื่อการรักษา คำร้องของผู้ร้องจึงไม่มีมูลที่จะขอให้ปล่อยตัว นพ.ประกิตเผ่า ให้ยกคำร้อง โดยสิทธิการนำผู้ป่วยเข้ารักษาใน รพ.จิตเวช นั้นให้เป็นสิทธิของครอบครัว
เปมิกา ผิดหวัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างศาลอ่านคำพิพากษา น.ส.เปมิกา ยืนก้มหน้าฟังคำสั่งตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่แสดงอาการประหม่าแต่อย่างใด ขณะที่กลุ่มเพื่อนที่มาให้กำลังใจ นางอลิสา ภรรยาของ นพ.ประกิตเผ่า ซึ่งนั่งอยู่เยื้องกันต่างหันหน้ามามองด้วยสายตาเยาะเย้ย น.ส.เปมิกา เป็นระยะ ๆ
ทมทิตชงค์" โล่งอกดีใจ
หลังฟังคำพิพากษา รศ.เพลินจิต นพ. ประกิตพันธ์ และ นางอลิสา มีสีหน้ายิ้มแย้มต่างแสดงความยินดีกับคำพิพากษาโดยมีผู้มาให้กำลังใจร่วมแสดงความยินดีจำนวนมาก ซึ่ง น.ส.เปมิกา ได้เดินออกจากห้องพิจารณาคดีเดินลงบันไดไปทันที จนลืมลงลายมือในเอกสารรับทราบคำสั่งของศาล จนเจ้าหน้าที่ต้องเดินออกมาตามกลับไปเซ็นชื่อ โดยไม่ยอมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแต่อย่างใด โดยกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า ไม่รู้สึกเสียใจกับการที่ศาลยกคำร้อง และตนคงไม่สามารถ ที่จะทำอะไรต่อไปได้
อยากถาม "เปมิกา" เป็นใคร
ขณะที่ นพ.ประกิตพันธ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ตอนนี้ได้ความชัดเจนว่าน้องชายตนป่วยจริง ทางบ้านมีสิทธิเต็มที่ในการดูแลรักษา ต้องขอขอบคุณศาลที่พิทักษ์สิทธิของครอบครัวเรา ตนจะพา หลาน ๆ ไปเยี่ยม และคิดว่า รพ.ศรีธัญญา เป็นสถานที่ที่ดีที่สุด แต่คุณแม่เห็นว่าการย้าย รพ.ตอนนี้คงไม่เหมาะเพราะต้องลงเปลมัดตัว จึงขอให้อยู่ที่สถาบันกัลยาณ์ฯ ไปพลาง ๆ ก่อน จากนั้นค่อยย้าย รพ.
ส่วนเรื่องจะฟ้อง น.ส.เปมิกาในคดีเกี่ยวกับสิทธิในครอบครัวนั้น
ได้ให้นโยบาย กับทนายความไปแล้ว ว่าอะไรทำได้ให้ทำไปขึ้นอยู่ว่าทนายจะไปยื่นฟ้องเมื่อใด ที่ผ่านมาเราพูดความจริงมาตลอด เรื่องนี้เป็นเรื่องความเข้าใจผิดกันของ น.ส.เปมิกาและตำรวจ ทำให้ครอบครัวเราเสียหาย คุณพ่อเป็นคนที่รับความเครียดไม่ไหว ถึงกับไอเป็นเลือดจนมีข่าวลือว่าเสียชีวิต
"สำหรับ น.ส.เปมิกา ถ้าเจอหน้ากัน อยากจะถามเป็นคำแรกว่า คุณเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับหมอ ทำไมถึงได้ทำให้ครอบครัวของผมเสียหายและวุ่นวายได้ขนาดนี้ "น.พ.ประกิตพันธ์กล่าว
อลิสา ไม่โกรธ น้องเป"
ด้านนางอลิสา ทมทิตชงค์ ภรรยา นพ.ประกิตเผ่า กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าเหตุที่สามีป่วยทางจิตเนื่องมาจากการไปคบหาสมาคมกับเพื่อนกลุ่มนี้ ที่พากันไปนั่งสมาธิ ซึ่งตัวเองก็ยังเชื่อในเรื่องจิตวิทยาหมู่ เรื่องที่เกิดขึ้นไม่เคยคิดโกรธ น.ส.เปมิกา แต่กลับรู้สึกสงสารมากกว่า ตนรู้ดีว่าสิ่งที่สามีได้พูดและแสดงออกมา ในระยะหลัง ก่อนที่จะเข้ารักษาตัวที่ รพ.ศรีธัญญานั้น เกิดมาจากความผิดปกติทางจิต ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงและไม่รู้สึกโกรธที่หมอจะขอหย่าร้าง และยังเชื่อมั่นว่าสามีจะหายขาดซึ่งตนจะเป็นกำลังใจให้เมื่อสามีหายป่วยออกจาก รพ.ก็พร้อมที่จะกลับมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันต่อไปดีใจแทนบุตรทั้งสอง โดยเฉพาะบุตรสาวที่ติดพ่อมาก
ฟ้อง"เปมิกา" เรียก 200 ล้าน
นายทองหลาง แพงศรีละคร ทนายความครอบครัวทมทิตชงค์ กล่าวว่า ในช่วงบ่ายวันที่ 13 มีนาคม จะเดินทางไปยื่นฟ้อง น.ส.เปมิกา ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง สนามหลวง ในทางแพ่ง เรื่องละเมิดเรียกค่าเสียหายประมาณ 200 ล้านบาท จากการประพฤติตนโดยเปิดเผยในทำนองชู้สาวกับสามีของบุคคลอื่น ส่วนการฟ้องร้องคดีอาญาหรือการเรียกร้องค่าเสียหายในคดีแพ่งที่ครอบครัวทมทิตชงค์ได้รับความเดือดร้อนเสื่อมเสียชื่อเสียง จะพิจารณาดำเนินการฟ้องร้องต่อไป
ป.รอ เปมิกา เข้าให้ปากคำ
ส่วนความคืบหน้าในการสืบสวนหาที่มาของสารอีเฟดรีนในร่างกาย นพ.ประกิตเผ่า ของกองปราบปรามนั้น เมื่อตอนบ่ายวันเดียวกันนี้ พ.ต.อ.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบก.ป. พ.ต.อ. วรายุทธ สุขวัฒน์ ผกก.1 บก.ป. ได้เรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนประกอบด้วย พ.ต.ท. วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท. สมบัติ มาลัย พงส.(สบ3) กลุ่มงานสอบสวน บก.ป. และชุดสืบสวน กก.1 บก.ป. เพื่อติด ตามความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนที่ผ่านมา
พร้อมกับแบ่งหน้าที่ให้ชุดทำงานดำเนินการต่อหลังจากที่มีคำสั่งศาล
ในวันเดียวกันนี้ โดยแบ่งชุดทำงานออกเป็น 2 ชุดเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงของทั้ง 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายครอบครัว นพ. ประกิตเผ่า และฝ่าย น.ส.เปมิกา พร้อมกันนั้นได้ให้พนักงานสอบสวนประสานงานไปยังศาลเพื่อขอคัดคำให้การของพยานทุกปากที่ขึ้นให้การในศาลมาเป็นฐานข้อมูลในการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนี้ด้วย
ทั้งนี้หลังจากศาลมีคำสั่งให้ นพ.ประกิต เผ่า อยู่ในความดูแลของแพทย์ต่อไป
ทางพนักงาน สอบสวนสามารถดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาที่มาของสารอีเฟดรีนได้อย่างเต็มที่มากยิ่งขึ้น โดยจะเริ่มจากการสอบถามข้อเท็จจริงจาก น.ส. เปมิกา เป็นอันดับแรก ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำหนังสือเชิญตัวให้มาพบในวันที่ 15 มี.ค.นี้ แต่จนถึงขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนยังไม่ได้รับคำตอบจาก น.ส.เปมิกา ว่าจะเดินทางมาพบตามหนังสือเชิญตัวหรือไม่.
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์