แพทย์มั่ว.! ฉีดยาผิดรอบ 2 ป้าดอกรัก เกือบตาย

แพทย์ฉีดยาผิดรอบสอง"ป้าดอกรัก"เกือบเอาชีวิตไม่รอดอีก


ป้าดอกรักสุดช้ำ หมอให้ยาผิดรอบสองเกือบตาย แถมถูกไล่ออกจากโรงพยาบลไม่รับรักษาต่อ เผยเงินชนะคดี 1 ล้านเหลือไม่ถึงครึ่ง คนใกล้ตัวยืมไป 3 แสน แต่ได้คืนแค่แสนเดียว ส่วนอีก 5 แสนใช้ปลูกบ้าน

เมื่อวันที่ 11 มีนาคม นางดอกรัก เพ็ชรประเสริฐ ที่แพทย์ได้ทำการรักษาผิดพลาดจนทำให้ตาบอดทั้ง 2 ข้าง ก่อนที่จะต่อสู้คดีความและชนะคดีจนได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน 1 ล้านบาทนั้น กำลังตกอยู่ในสภาพลำบากเนื่องจากถูกโรงพยาบาลปฏิเสธให้การรักษารับตัวเป็นคนไข้ของโรพยาบาล จนต้องกลับมารักษาตัวอยู่ที่บ้านตามลำพัง

ห้องพักเลขที่ 67 / 557 หมู่ 5 ต.ปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เป็นห้องพักของนางดอกรัก โดยได้อาศรัยอยู่กับ ด.ญ.จุฑาทิพย์ หรือ น้องจูน อายุ 10 ขวบ บุตรสาวเพียงคนเดียว


นางดอกรัก กล่าวว่า


ตนเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ทั้ง ๆ ที่ตนเองยังไม่อยากออกจากโรงพยาบาลเนื่องจากยังมีอาการเหนื่อย จุกหน้าอก และหายใจไม่สะดวกอยู่ อาการยังไม่ดี แต่แพทย์ของโรงพยาบาลที่มาตรวจอาการบอกว่า ให้ตนกลับไปรักษาตัวที่บ้านเอง เพราะไข้ลดลงแล้ว เหลือแต่อาการหอบเพียงอย่างเดียว

ส่วนสาเหตุที่แพทย์ของโรงพยาบาลพยายามให้ตนออกจากโรงพยาบาลนั้น เป็นเพราะว่าเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2549 แพทย์ที่ทำการรักษาตนได้นำตัวยาเพนนิซิลิน มาฉีดให้ โดยไม่ดูทะเบียนประวัติในการรักษาว่า ตนมีอาการแพ้ยาตัวนี้อย่างรุนแรง ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ตาบอดมาจนทุกวันนี้ก็เกิดมาจากการแพ้ตัวยาดังกล่าว

ซึ่งเมื่อแพทย์ได้ฉีดยาดังกล่าวให้กับตนแล้ว ตนก็เกิดอาการใจสั่นและเหนื่อยหอบเหมือนกับอาการที่เคยเกิดขึ้นในตอนที่แพ้ยาครั้งแรก จึงได้ถามแพทย์ว่า เอายาอะไรมาฉีดให้ตน แพทย์คนดังกล่าวก็ตอบว่า ยาเพนนิซิลิน ด้วยความตกใจตนเองจึงรีบบอกกับแพทย์คนดังกล่าวว่า ทำไมแพทย์ไม่ดูประวัติการแพ้ยาของคนไข้เสียก่อน เพราะตนเองแพ้ยาตัวนี้เป็นอย่างมาก

นางดอกรัก กล่าวต่อว่า ต่อมาแพทย์คนดังกล่าวจึงรีบเอายาที่ให้ออกและนำยาตัวอื่นมาฉีดให้แทน และพูดปลอบตนว่า ฉีดยาแก้แพ้ยาให้แล้วไม่เป็นไรแล้วเดี๋ยวก็หาย ก่อนที่จะให้พยาบาลมานำตนขึ้นไปรักษาตัวต่อที่ชั้น 6 ของโรงพยาบาล และระหว่างที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลดังกล่าวก็จะถูกอาจารย์แพทย์ของโรงพยาบาลแห่งนี้พูดประชดกับแพทย์เวรของโรงพยาบาลว่า ให้ตรวจรักษาวิเคราะห์โรคให้ดีเดี๋ยวจะต้องเสียเงินกันอีกล้านบาท


ต่อมาเมื่อทางโรงพยาบาลเห็นว่า


สามารถรักษาตนให้หายจากอาการแพ้ยาที่ฉีดผิดพลาดได้ จึงรีบพยายามไล่ให้ตนเองออกจากโรงพยาบาลเพราะกลัวว่าหากเกิดการรักษาผิดพลาดขึ้นมาอีก จะทำให้ทางโรงพยาบาลเสื่อมเสีย ตนเองจึงถูกบังคับให้ออกจากโรงพยาบาลทั้ง ๆ ที่ยังรู้สึกว่าอาการยังไม่ดีขึ้นเลย

ซึ่งหลังจากที่ต้องกลับมารักษาตัวเองอยู่ที่บ้านนั้น ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจทางปากด้วยเพราะหายใจไม่สะดวก เนื่องจากตนเป็นโรคทางเดินหายใจติดเชื้อและยังเป็นโรคหอบหืดอีก ทำให้ต้องคอยใช้ยาพ่นพ่นเป็นประจำ

"ทุกวันนี้ชีวิตก็ลำบากมากขึ้นอีก เพราะนอกจากตาที่บอดทั้ง 2 ข้างรักษาไม่หายแล้ว ปอดก็เหลือเพียงข้างเดียว เพราะถูกตัวยาที่แพ้ทำลายจนปอดเสียไปข้างหนึ่งแล้ว และยังเป็นโรคหอบหืดอีก ยังไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป และยังเป็นห่วงน้องจูนลูกสาวเพียงคนเดียว เพราะหากฉันเป็นอะไรไป ลูกสาวจะอยู่อย่างไร ฉันอยากให้แพทย์ของโรงพยาบาลมีความรับผิดชอบมากกว่านี้" นางดอกรัก กล่าว

สำหรับเรื่องเงินชดเชยจำนวน 1 ล้านบาทที่ได้รับมานั้น ในตอนนี้เหลือติดตัวอยู่ไม่ มากนัก เพราะตนได้นำเงินไปปลูกบ้านไว้ที่ จ.นครสวรรค์ เป็นเงิน 5 แสนกว่าบาท ส่วนที่เหลือเก็บไว้เป็นทุนให้ลูกสาวและค่ารักษาพยาบาลค่ารถจำนวนหนึ่งเท่านั้น และถูกคนใกล้ชิดมาหลอกยืมไปอีก 3 แสนบาท เพิ่งจะได้คืนมาเพียง 1.1 แสนบาท เหลืออีก 1.9 แสนบาท ที่ยังไม่ได้คืน จึงทำให้คนทั่วไปมองดูว่าตนเองยังมีเงินอยู่และมีความสบาย ทั้ง ๆ ที่ตนไม่ได้มีรายรับเพิ่มขึ้นเลย


ชีวิตจึงไม่ได้สบายอย่างที่คนภายนอกเขาเข้าใจ


นอกจากรายจ่ายค่าเช่าห้อง ค่ารถ ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาลที่ต้องไปหาแพทย์เดือนละ 5 ครั้งอีก ตกแล้วก็เกือบหมื่นทุกเดือน ชีวิตจึงไม่ได้สบายอย่างที่คนภายนอกเขาเข้าใจ เพราะทุกวันนี้ก็ยังลำบากอยู่

ตนอยากให้แพทย์ของโรงพยาบาลมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ อยากให้ดูแลเอาใจใส่คนไข้ให้มากกว่านี้ จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ผิดพลาดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่ตนพูดออกมานี้ไม่ได้ว่าแพทย์ไม่ดี เพราะแพทย์ที่ดี ๆ ก็มีเยอะ ทุกวันนี้พยายามคิดว่าเป็นเรื่องของเวรกรรมจะได้ทำให้ตนไม่ฟุ้งซ่าน แต่ถ้าคิดอีกแบบว่ามันไม่ใช่เรื่องเวรกรรม ก็จะกลายเป็นเรื่องของความประมาทของแพทย์มากกว่า

"ที่ออกมาพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้ต้องการอะไร นอกจากต้องการให้แพทย์ของโรงพยาบาลรับผิดชอบคนไข้มากกว่า ไม่ใช่ผลักไสไล่ส่งคนไข้กลับบ้าน ทั้ง ๆ ที่อาการยังไม่ดีขึ้นแบบนี้

พอตกเป็นข่าวทีก็มีหลายหน่วยงานเข้ามาดูแลโรงพยาบาลก็ดูแลรักษาให้ความสำคัญ พอเรื่องเงียบก็ปล่อยทิ้งคนไข้ ไม่ดูแลเอาใจใส่เท่าที่ควร แล้วคนไข้อย่างฉันต่อไปนี้จะไปหาแพทย์ที่โรงพยาบาลไหนมาช่วยรักษาได้ถ้าเกิดเจ็บไข้ขึ้นมาอีก" นางดอกรัก กล่าว



ขอขอบคุณ : ข้อมูลข่าวที่มีคุณภาพ

จาก หนังสือพิมพ์คม.ชัด.ลึก.

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์