แม่เด็ก ป.1 ต่อยเด็ก 5 ขวบ เผยข่าวทำลูกซึมเศร้า ขอความเป็นธรรม
แม่เด็ก ป.1 มือต่อยเด็ก 5 ขวบ วอนขอความเป็นธรรมให้ลูกชายด้วย หลังจากข่าวที่ออกมาทำลูกชายซึมเศร้า เผยตลอดเวลาพูดคุยกับญาติผู้เสียหายในเรื่องค่ารักษาตลอด ด้านญาติเด็ก 5 ขวบ ร้องหาความจริง สงสัยทำไมหลานโคม่า หากต่อยกันแค่ 2 คน พร้อมบอกขอให้เห็นใจ เพราะหลานก็เจ็บปางตาย
จาก กรณีที่ยายของ น้องนนท์ เด็กชายวัย 5 ขวบ นักเรียนชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน จ.สุพรรณบุรี เข้าร้องเรียนกับมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ว่า หลานชายถูกเด็กนักเรียนชั้น ป.1 รุ่นพี่ที่โรงเรียนทำร้ายร่างกาย จนได้รับบาดเจ็บสาหัส แขนหัก ช้ำใน และติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งขณะนี้ น้องนนท์ ถูกนำตัวมารักษาต่อที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม เนื่องจากอาการยังโคม่าอยู่ ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด เมื่อวานนี้ (14 มีนาคม) นางสาวกัญจนา ศิลปอาชา ประธานมูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย พร้อมด้วยนายอนุสรณ์ ฟูเจริญ ผอ.สพท.เขต 1 สุพรรณบุรี และนายฉัฐชาย ภู่แสงวงษ์ ผอ.โรงเรียนที่เกิดเหตุ ได้เข้าเยี่ยมอาการของน้องนนท์ที่ห้องไอซียู
ทั้ง นี้ นายฉัฐชาย ผอ.โรงเรียนดังกล่าว เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ปกติแล้วนักเรียนจะมีครูเวรที่คอยดูแลเด็ก อีกทั้งยังมีกล้องวงจรปิดติดอยู่ แต่บริเวณที่เกิดเหตุไม่ได้ติดไว้ ส่วนเหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นรวดเร็วมาก และเด็กก็แยกย้ายกลับบ้านไป เท่าที่ตนทราบก็เป็นแค่การกอดรัดฟัดเหวี่ยง ตามธรรมชาติของเด็กผู้ชายเล่นกัน ไม่ได้เป็นเรื่องทะเลาะกัน หรือมีการรุมทำร้ายอย่างที่ข่าวออกไป เนื่องจากหลังจากที่เกิดเรื่อง น้องนนท์ไม่ได้ร้องไห้ และกลับเข้าไปเรียนหนังสือตามปกติ ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าน้องนนท์ได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งเป็นเด็กเล็กขนาดนั้น หากถูกทำร้ายร่างกาย เด็กก็น่าจะไปฟ้องครูแล้ว แต่ทั้งนี้ เมื่อเด็กกลับบ้านไปก็เกิดอาการปวดไหล่ ซึ่งตนได้สอบถามจากโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ที่รักษาน้องนนท์ในเบื้องต้น ทราบว่า น้องนนท์กระดูกร้าว และที่อาการทรุดลงนั้น เพราะติดเชื้อในกระแสเลือด
ผอ.โรงเรียน กล่าวต่อว่า สำหรับสภาพจิตใจของเด็ก ป.1 คู่กรณีในขณะนี้แย่มาก ตนไม่อยากให้สังคมตัดสิน หรือพิพากษาเด็ก ป.1 โดยไม่ทราบข้อเท็จจริง และตอนนี้ก็เป็นช่วงปิดเทอม ซึ่งเด็ก ป.1 คนดังกล่าว มีอาการซึมเศร้า เก็บตัวอยู่ในบ้าน ส่วน ทางสื่อมวลชนก็พยายามที่จะเข้าไปสัมภาษณ์ แต่ทางบ้านไม่อนุญาต จนช่วงหลังต้องให้สื่อมวลชนเข้ามาดูว่า เด็ก ป.1 นั้น ไม่ได้ตัวโตจนลงมือทำร้ายใครได้ อีกทั้งสภาพจิตใจของผู้ปกครอง เด็ก ป.1 ก็แย่ไปด้วยเช่นกัน เพราะถูกสังคมพิพากษาว่าเด็กเป็นฝ่ายกระทำความรุนแรงไปแล้ว
สำหรับเรื่องเยียวยานั้น นายฉัฐชาย กล่าวว่า ต้องได้รับการเยียวยาทั้งสองฝ่าย แต่ในส่วนของค่ารักษาพยาบาลน้องนนท์ ในเบื้องต้นทราบว่าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งหลังจากย้ายมาอยู่ที่ โรงพยาบาลจุฬาฯ ทางโรงเรียนได้ช่วยเหลือในส่วนของค่าเดินทางของผู้ปกครองในจำนวน 5 พันบาท และโรงเรียนก็ยังประสานไปทางประกันชีวิตที่น้องนนท์ทำไว้ แต่ทั้งนี้ต้องรอใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลก่อนถึงจะเบิกได้
ขณะที่ น.ส.กรผกา แม่ของน้องนนท์ กล่าวว่า อาการของลูกชายเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว และรู้สึกตัวในช่วงบ่ายของวันที่ 13 มีนาคม แต่ทว่าในช่วงเช้าวันที่ 14 มีนาคม กลับมีเลือดไหลที่ปอด ซึ่งยังคงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่
ต่อ มาในช่วงบ่ายของวันเดียวกันนั้น แม่และเด็ก ป.1 คู่กรณี พร้อมญาติ ๆ กว่า 10 คน ได้เดินทางจาก จ.สุพรรณบุรี เพื่อมาเยี่ยมน้องนนท์ แต่แพทย์ไม่อนุญาตเนื่องจากเกรงว่าจะติดเชื้อ โดยแม่ของเด็ก ป.1 เปิดเผยว่า หลังจากข่าวออกไปว่า ครอบครัวของตนถูกโจมตีอย่างหนัก เนื่องจากไม่มีโอกาสชี้แจงใด ๆ เลย และข่าวที่ออกไปนั้นก็ไม่ตรงกับเหตุการณ์จริง โดยในวันเกิดเหตุ คือช่วงเช้าของวันที่ 1 มีนาคม ก่อนที่จะเข้าแถวเคารพธงชาติ ลูกชายของตนกำลังทำความสะอาดอยู่บริเวณใกล้กับเสาธง และระหว่างนั้นน้องนนท์เดินผ่านมา ลูกชายตนก็เลยตบหัวเบา ๆ เพราะต้องการแหย่เล่น แต่หลังจากนั้นก็มีการยื้อกันไปมา ซึ่งเด็ก ม.1 ที่อยู่ใกล้ ๆ บอกว่าถ้าจะยื้อกันแบบนั้นก็ต่อยกันไปเลย จากนั้นลูกชาย ของตนจึงต่อยไปที่แขนน้องนนท์ 2 ที แล้วล็อกคอดึงตัวน้องนนท์จนล้มไปพร้อมกัน ต่อมากลุ่มเด็ก ม.1 ที่ยุให้ต่อยกันนั้น ก็มาห้าม ลูกชายของตนกับน้องนนท์ ก็แยกกันไป โดยตอนนั้นน้องนนท์ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บใด ๆ
แม่ของเด็ก ป.1 ยังกล่าวอีกว่า หลังจากนั้น ในช่วงเย็นของวันที่ 5 มีนาคม ครูประจำชั้นของลูกชายคนได้โทรมาบอกว่า ลูกไปทำน้องนนท์จนต้องเข้าเฝือก ตนจึงสอบถามลูกว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งลูกก็เล่าให้ฟังว่าต่อยกันธรรมดา จากนั้นเช้าวันต่อมา ตนก็ไปเจอกับแม่ของน้องนนท์เพื่อตกลงเรื่องค่ารักษาพยาบาล แต่ทางญาติของน้องนนท์ เรียกเงินจำนวน 20,000-28,000 บาท ตนคิดว่ามันสูงเกินไป ตนจึงขอเวลาไปปรึกษากับหมอกระดูกก่อน แต่หลังจากนั้น ญาติน้องนนท์ก็โทรมาบอกว่าแขนน้องนนท์บวม ตนจึงรีบพาน้องนนท์ไปโรงพยาบาล พอหมอได้แกะเฝือกอ่อนออก ก็พบว่ามีรอยจ้ำ ๆ ที่แขน ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าแขนน้องนนท์มีรอยตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะวันที่ใส่เฝือกไปนั้นยังไม่มี และหลังจากนั้นทางแพทย์แจ้งว่าน้องนนท์ควรนอนโรงพยาบาล แต่ญาติไม่ยอมและพาน้องนนท์กลับบ้านไป
นอก จากนี้ แม่ของเด็ก ป.1 ยังกล่าวต่อว่า หลังจากนั้นวันที่ 7 มีนาคม ตนเดินทางไปพบญาติน้องนนท์เพื่อคุยเรื่องค่าทำขวัญกันอีกครั้ง ซึ่งเขาเรียกตนถึง 1 หมื่นบาท ตนยังไม่จ่าย เพราะไม่รู้ว่าญาติจะเอาเงินไปทำอะไร และตนก็ต้องการจ่ายค่ารักษากับทางโรงพยาบาลเอง ซึ่งญาติน้องนนท์ก็ไม่ยอม ตนจึงให้ค่าทำขวัญไปก่อน 2 พันบาท และก่อนหน้านี้ก็ได้ให้ไปแล้ว 1 พันบาท ตอนที่เจอกันหลังมีเรื่องครั้งแรก และหลังจากนั้นตนก็ไม่ได้รับการติดต่อจากญาติน้องนนท์อีกเลย จนกระทั่งเป็นข่าว
อย่างไรก็ตาม ตนขอยืนยันว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ตนเข้าไปหาและพูดคุยถึงอาการของน้องนนท์ รวมถึงยินดีที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาล แต่ข่าวออกมากลับกลายเป็นว่าครอบครัวของตนถูกโจมตีอย่างหนัก ซึ่งหลังจากที่ข่าวออกมานั้น ลูกชายของตนก็เงียบขรึม ไม่พูดไม่จาเหมือนเมื่อก่อน
ส่วน ทางด้าน โรงพยาบาลจุฬาฯ ได้รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับอาการของน้องนนท์ว่า อาการโดยทั่วไปผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ถามตอบรู้เรื่อง ความดันโลหิตและชีพจรเต้นอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ยังคงมีหนองออกที่รักแร้ข้างซ้าย โดยแพทย์ได้ให้การรักษาด้วยการใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้ยาเพิ่มความดันโลหิต กับยาปฏิชีวนะ และเริ่มให้อาหารทางสายยางรวมทั้งทำแผลต่อไป ซึ่งผู้ป่วยยังต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และยังต้องอยู่ในห้องไอซียูต่อไป
ญาติเด็ก 5 ขวบ ร้องหาความจริง ในเจาะข่าวเด่น
เมื่อ เย็นวานนี้ (14 มีนาคม) ทางญาติของน้องนนท์ ก็ได้เดินทางมาเปิดใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว เนื่องจากว่ามีข้อสงสัยหลายอย่าง และครอบครัวตนเองก็ถูกสังคมตราหน้าว่า ไปขู่ครอบครัวของเด็ก ป.1 คู่กรณี และทำให้เด็ก ป.1 ซึมเศร้า
โดยคุณป้าของน้องนนท์ (ซึ่งน้องนนท์เรียกว่าแม่) เล่าให้ฟังว่า วันเกิดเหตุคือวันที่ 1 มีนาคม น้องนนท์กลับมาที่บ้าน และบอกว่าปวดแขน ตนจึงถามว่าไปทำอะไรมา น้องนนท์จึงเล่าว่ามีเรื่องกับพี่ ป.1 ต่อยกัน และโดนพี่ล็อกคอ กดไหล่ด้วย ซึ่งน้องนนท์พูดเท่านี้ แต่ก็ไม่ได้งอแงหรืออะไร ต่อมาคุณยายก็เล่าให้ฟังว่า น้องนนท์บอกปวดแขนมาก และพูดติดตลกว่า สงสัยแขนคงหักแล้วมั้ง แต่ก็พูดแค่นี้ ไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติม
"พอ วันรุ่งขึ้น น้องนนท์ก็เริ่มมีอาการ และตาโรย เหมือนคนง่วงนอน พร้อมบอกว่าหนูเหมือนจะไม่สบาย หนูง่วงนอนด้วย เราก็เลยให้เขานอนพัก บอกว่าตื่นมาจะพาไปซื้อขนมนะ แต่พอเค้าตื่นขึ้นมาก็ร้องฮือ บอกปวดแขน ปวดมาก ปวดจริง ๆ นะไม่ไหวแล้ว พอเราจับตัวก็เห็นว่าตัวร้อน จึงพาไปหาหมอที่อนามัยก่อน ซึ่งพอหมอทราบว่าน้องนนท์ปวดแขนเพราะไปมีเรื่องชกต่อยมา จึงสันนิษฐานว่าน่าจะกล้ามเนื้ออักเสบ แต่ตอนนั้นน้องนนท์ยังพอยกแขนได้อยู่" คุณป้าของน้องนนท์ กล่าว
คุณยายของน้องนนท์ กล่าวต่อว่า หลังจากหาหมอไข้น้องนนท์ไม่ลดลงเลย จึงพาไปตรวจที่โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ซึ่งหมอก็พาน้องนนท์ไปเอกซเรย์ และก็พบว่า กระดูกแขนข้างซ้ายแตกร้าว หมอก็เลยใส่เฝือกให้ พอกลับบ้านมาแขนน้องนนท์กลับบวมเต่ง และน้องนนท์ก็ร้องตลอดเวลาว่าจะเอาเฝือกออก ตนจึงไปหาหมออีกครั้ง ซึ่งหมอบอกว่ามันเป็นอาการคับเฝือก เพราะกระดูกร้าว มันก็อักเสบ จึงถือว่าอาการบวมนี้เป็นเรื่องปกติ สุดท้ายก็พาน้องนนท์กับบ้านและไม่ได้ถอดเฝือก
ด้าน คุณป้ากล่าวต่อว่า วันรุ่งขึ้นยายก็โทรมา บอกว่าน้องนนท์ร้องตลอด มีไข้ตัวร้อน และหายใจขัด ๆ อีกทั้งยังมีอาการท้องแข็ง ตนจึงรีบกลับบ้านมาดู เห็นน้องนนท์น้องร้องไห้ฮือ ครวญครางมาก อาเจียนออกมาเป็นสีดำ ตนก็ใจไม่ดีรีบพาน้องนนท์ไปโรงพยาบาลอีกครั้ง ซึ่ง คราวนี้หมอก็ตรวจอย่างละเอียดและก็พบว่า น้องนนท์มีเลือดออกในช่องท้อง มีหนองออกบางส่วน พบอาการติดเชื้อในกระแสเลือด หัวใจโต ช้ำใน ซึ่งหมอเขาเอาสายเจาะเข้าไปในคอแล้วก็ดูดเอาของเหลวนั้นออกมา โดยบอกว่าเป็นเลือดช้ำ แต่ยังไม่เป็นหนอง พร้อมบอกให้พวกตนเตรียมตัว เพราะจะส่งน้องนนท์ไปโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เพราะน้องนนท์อาการโคม่าแล้ว..
ส่วนทางด้านคู่กรณี คุณยายกล่าวว่า ที่มีข่าวออกมาว่าเราเรียกค่าเสียหาย 1 หมื่นบาท เป็นด้านคุณยายอีกทางหนึ่งเขาร้องขอ ส่วนตนนั้นไม่รู้ แต่ถึงกระนั้น ตนก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมาย ก็แล้วแต่น้ำใจเขา เพราะตนได้รับการช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาฯ แล้ว
สำหรับประเด็นที่คุณยายและคุณป้าติดใจนั้น คือสงสัยว่า ทำไม ผอ.โรงเรียน พูดแค่ว่าเด็กสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันตามประสาเด็ก ทั้ง ๆ ที่น้องนนท์เจ็บปางตาย ช้ำใน เลือดคั่ง ต้องเจาะหนอง และเด็ก ป.1 คู่กรณีตัวก็ไม่ใหญ่มาก ความสูงก็ไล่เลี่ยกัน แค่กำปั้นของเด็ก ป.1 จะทำให้น้องนนท์เจ็บขนาดนี้เลยหรือ เลยอยากจะรู้ความจริงตรงนี้ ส่วนที่คุณครูออกมาระบุว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงแค่ 1 นาทีเท่านั้น และเด็ก ม.1 ที่ยุให้ต่อยกันมาจับแยก ตนอยากจะถามว่า คุณครูอยู่ในเหตุการณ์หรือเปล่า เพราะเท่าที่ถามเพื่อนของเด็กนั้น ทราบว่า เป็นการรุมกันนานพอสมควร ไม่ได้ต่อยกันแค่สองคน และไม่มีใครห้าม ส่วนที่แยกกันได้นั้น เป็นเพราะน้องนนท์ร้องบอกว่า ไม่ไหวแล้ว ๆ ถึงได้แยกตัวออกมาได้
นอกจากนี้ คุณยายของน้องนนท์ ยังกล่าวทั้งน้ำตาว่า ข่าวที่ออกมาบอกว่าครอบครัวเรานั้นไปขู่ทำให้เด็ก ป.1 ซึมเศร้า นี่น้องนนท์บาดเจ็บปางตาย กลับกลายเป็นว่า ครอบครัวเราก็ถูกกล่าวหาเสียอย่างนั้น จริง ๆ แล้ว ตนไม่ติดใจเอาความเด็ก ป.1 เลย ก็รู้ว่าเด็กไม่ได้ตั้งใจ ส่วนที่ออกมาร้องขอให้มูลนิธิปวีณาช่วย คือตนไม่มีเงิน และอยากให้หลานได้รับการรักษาดี ๆ ได้เจอหมอเก่ง ๆ เพื่อให้น้องนนท์หายไว ๆ ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปคู่ขวัญ หรือทำให้เด็กเสียขวัญเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม คุณยายของน้องนนท์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตน อยากวอนขอความเป็นธรรมเช่นกัน อยากให้เห็นใจกันหน่อย เพราะถ้าบอกว่าเด็กทางนั้นเสียขวัญ ตนก็อยากจะบอกว่า เด็กทางนี้ก็ปางตายเช่นกัน บ้านของตนทำกินไปวัน ๆ ไม่มีเงินมารักษาน้องนนท์ จึงจำเป็นที่จะต้องร้องมูลนิธิเพื่อให้ยื่นมือเข้ามาช่วย เพราะลำพังครอบครัวตนคงไม่มีปัญหามีเงินรักษาหลาน ซึ่งตอนนั้นตอนที่ย้ายโรงพยาบาล ทุกคนหมดหวังแล้ว สภาพน้องนนท์แย่มาก... เราจึงต้องการแค่เงินที่มาช่วยหลานให้รอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้อยากจะทำร้ายเด็กคนนั้นเลย...