สิงห์เปิดเกมรุกช้างระลอกใหม่ ส่งเบียร์ขวดเล็กยึดตลาด1.4แสนล.
"สิงห์"เปิดเกมขย่มสมรภูมิเบียร์รอบใหม่ ส่งไซซ์ใหม่ "สิงห์ 500" ปูพรมตลาดเมษายนนี้ เพิ่มงบฯการตลาดหนุนสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง-มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง โชว์ไฮไลต์ ดึงทีมฟุตบอลดัง "แมนฯ ยูไนเต็ด-เชลซี" ฟาดแข้งในไทย-ทัวร์เอเชีย ผนึกพันธมิตร "คาร์ลสเบิร์ก" บุกเออีซี พร้อมปั้น "สิงห์" ขึ้นแท่นริจินอลแบรนด์
ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา แม้ "เบียร์สิงห์" จะมีมาร์เก็ตแชร์เหนือคู่แข่งคนสำคัญ "เบียร์ช้าง" ล่าสุดจากตัวเลขปริมาณน้ำเบียร์ที่เสียภาษีสรรพสามิต เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา พบว่าค่ายสิงห์มีสัดส่วนเพิ่มสูงถึง 70% ทิ้งห่างคู่แข่งมากกว่าเท่าตัว แต่วันนี้สิงห์ก็ยังเดินหน้ารุกไล่กวาดมาร์เก็ตแชร์และขยายตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับโอกาสการเฉลิมฉลองครบ 80 ปีของบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด
ซุ่มออกไซซ์ใหม่ 500 มล.
นาย ปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการบริหาร บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในโอกาสบุญรอดฯมีอายุครบ 80 ปี บริษัทมีนโยบายจะรุกตลาดมากขึ้น เพื่อรักษาความเป็นผู้นำตลาด ขณะเดียวกันก็มุ่งขยายตลาดในต่างประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจในเกณฑ์สูงอย่างต่อเนื่อง ในโอกาสนี้ บริษัทจะลอนช์ เบียร์สิงห์ไซซ์ใหม่ขนาด 500 มล.เข้ามาทำตลาด จะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงเดือนเมษายนนี้ ที่ผ่านมาได้ทดลองทำตลาดสินค้าไซซ์ 500 มาระยะหนึ่ง ในลักษณะของการคืนขวด โดยเน้นวางขายในร้านอาหาร
นาย ปิติกล่าวว่า สินค้าไซซ์ใหม่นี้จะมีราคาถูกลง ใกล้เคียงกับลีโอขวดใหญ่ หรือประมาณขวดละ 50 บาท และวางขายในทุกช่องทาง พร้อมกันนี้ยังได้เพิ่มงบประมาณทางการตลาดขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง
"เหตุผล ที่ต้องมีไซซ์ 500 มล. มาจากสภาพอากาศบ้านเราที่ร้อนชื้น เบียร์ขวดใหญ่ (630 มล.) ที่นำออกมาจากตู้เย็น ดื่มยังไม่เท่าไหร่ก็ไม่เย็นแล้ว บางคนต้องใส่น้ำแข็งช่วย ดังนั้น สิงห์ 500 มล. จึงออกมาเพื่อเสิร์ฟในส่วนนี้ และด้วยปริมาณที่พอเหมาะก็จะทำให้น้ำเบียร์เย็นอยู่ตลอด ในช่วงระหว่างการดื่มโดยไม่ต้องใส่น้ำแข็ง ซึ่งคาดหวังว่า สิงห์ 500 จะเป็นเทรนด์ใหม่ของคนดื่มเบียร์"
ลุยสปอร์ต-มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง
สำหรับ กลยุทธ์ทางการตลาด นายปิติกล่าวว่า หลัก ๆ จะยังคงเน้นไปที่สปอร์ตมาร์เก็ตติ้งและมิวสิกมาร์เก็ตติ้ง สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นทั้งในไทยและตลาดโลก ไฮไลต์หลัก ๆ จะเป็นการนำทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด-เชลซี ที่สิงห์เป็นโกลบอลพาร์ตเนอร์เข้ามาแข่งนัดพิเศษในเมืองไทย ระหว่าง 11-13 กรกฎาคม (เตะ 13) และ 12-18 กรกฎาคม (เตะ 17) ตามลำดับ
"ทั้ง 2 แมตช์ ใช้งบฯราว ๆ 200 ล้านบาท เพื่อตอกย้ำการสร้างแบรนด์สิงห์สู่แบรนด์ระดับโลก นอกจากนี้ ยังมีกีฬาอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ไทยไฟต์, การแข่งรถเอฟ-1 เป็นต้น ที่จะต่อยอดในการสร้างแบรนด์ และกิจกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ"
ขณะ ที่นายฉัตรชัย วิรัตน์โยสินทร์ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาสิงห์ได้เซ็ญสัญญาเป็นโกลบอลพาร์ตเนอร์ของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เดิมจะสิ้นสุดสัญญาในปี 2556 และเชลซี ที่จะสิ้นสุดสัญญาในปี 2557 ออกไปอีก 1 ปี จากเมื่อปี 2553 ที่บริษัทร่วมเซ็นสัญญากับทั้ง 2 สโมสรเป็นเวลา 3 ปี และ 4 ปี ตามลำดับ ด้วยงบประมาณรวม 700 ล้านบาท และได้รับสิทธิ์การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สิงห์ในสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดของแมนฯ ยูไนเต็ด และสแตมฟอร์ดบริดจ์ ของทีมเชลซี รวมทั้งมีป้ายโฆษณาผลิตภัณฑ์สิงห์ ติดข้างสนามในทุกแมตช์การแข่งขัน
นายปิติย้ำอีกว่า ปีนี้สิงห์จะเน้นการบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยจะให้ความสำคัญกับตลาดเออีซีเป็นหลัก ส่วนตลาดยุโรป อเมริกา ก็จะเดินเต็มที่เช่นกัน แต่ทั้งนี้ น้ำหนัก 60% จะอยู่ที่ เออีซี โดยจะเป็นการผนึกกำลังคาร์ลสเบิร์ก ที่มีความแข็งแกร่งในตลาดเอเชีย ทั้งในแง่โรงงานที่เป็นฐานการผลิต 8 โรงงาน ในลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย รวมทั้งเครือข่ายการกระจายสินค้าที่ครอบคลุมในหลายประเทศ ในการขยายตลาดเบียร์สิงห์ในต่างประเทศ และในฐานะที่สิงห์เป็นเจ้าของแบรนด์ก็จะทุ่มงบฯเพื่อสนับสนุนการสร้างแบรนด์ การสร้างการรับรู้ในตลาดนั้น ๆ อย่างเต็มที่ รวมทั้งการต่อยอดกิจกรรมทางการตลาด จากการเป็นโกลบอลพาร์ตเนอร์ ทีมแมนฯ ยูไนเต็ด และเชลซี
เออีซี ดื่มเบียร์ 15 ลิตร/คน/ปี
ปัจจุบัน การบริโภคเบียร์ในภาพรวมของเออีซีมีตัวเลขเพียง 15 ลิตร/คน/ปี ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับอเมริกาและยุโรปที่ตัวเลขเฉลี่ยอยู่ที่ 80-85 ลิตร/คน/ปี หรือไทย 30 ลิตร/คน/ปี เกาหลี-ญี่ปุ่น ประมาณ 50-60 ลิตร/คน/ปี ดังนั้น จึงมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก นอกจากนี้ สิงห์และคาร์ลสเบอร์กยังมีแนวคิดที่จะสร้างสิงห์ให้เป็นเบียร์ที่เป็นตัวแทน ของเออีซี เพื่อขับเคลื่อนตลาดหรือการบริโภคเบียร์ในตลาดเออีซีด้วย
"หาก สิงห์เป็นแบรนด์ตัวแทนของเบียร์เออีซีแล้ว โอกาสที่จะไปเติบโตในตลาดหรือทวีปอื่น ๆ ก็คงไม่ยาก และมั่นใจว่าเป้าหมายการเป็นแบรนด์ท็อป 3 ในเอเชีย จึงเป็นเรื่องที่ไม่ไกล จากปัจจุบันที่อยู่เป็นอันดับ 5 ปีนี้เราตั้งเป้าการเติบโตไว้ 8% จากปีที่ผ่านมาที่มียอดขายรวม 103,000 ล้านบาท หรือโต 17.5% ซึ่งปีที่ผ่านมาเป็นปีแรกที่บริษัทมียอดขายรวมทะลุ 1 แสนล้านบาท มีมาร์เก็ตแชร์เฉลี่ยทั้งปี 70% จากมูลค่าตลาดรวมประมาณ 1.4-1.5 แสนล้านบาท
ส่วนต่างประเทศ ปีที่ผ่านมามีตัวเลขยอดขาย 100 ล้านลิตร ปีนี้ตั้งเป้าโต 25% ซึ่งยังเป็นสัดส่วนไม่มากนักเมื่อเทียบกับยอดขายรวม" นายปิติกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2555 โดยระบุว่า ในส่วนของเบียร์ช้างมียอดขายทั้งสิ้น 34,153 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 4%