ศาลอุทธรณ์แก้โทษ'หมูแฮม'ซิ่งรถเบนซ์ชนคนตาย จาก 10 ปี 1 เดือน เหลือ 2 ปี 1 เดือน รอลงอาญา 2ปี ชี้ขณะเกิดเหตุมีจิตบกพร่อง
5 มี.ค.56 ที่ศาลจังหวัดพระโขนง ถ.สรรพาวุธ ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ 2579/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีศาลจังหวัดพระโขนง และนายมาโนจน์ หรือธนชรพล โตจวง , น.ส.สังวาล สีหะวงษ์ , น.ส.สุชีรา อินทร์สุวรรณ์ และ นางทองดำ หลวงแสง ญาติของผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายกัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ หรือหมูแฮม อายุ 25 ปี บุตรชายนายกัณฑ์เอนก ปัจฉิมสวัสดิ์ กับนางสาวิณี ปะการะนัง อดีตนางสาวไทยปี 2527 เป็นจำเลย ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา , พยายามฆ่าผู้อื่น และทำร้ายร่างกายผู้อื่นทำให้ได้อันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 , 80 , 91 ,289 และ 295กรณี เมื่อวันที่ 4 ก.ค.50 เวลา 22.50 น. จำเลยใช้ก้อนหินทุบใบหน้านายสถาพร อรุณศิริ พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 513 ทะเบียน 12-0939 กรุงเทพมหานคร และขับรถเบนซ์ ทะเบียน ศศ 6699 กรุงเทพมหานคร พุ่งชนผู้โดยสารที่ยืนบนทางเท้า และนางสายชล หลวงแสง พนักงานการเงิน ขสมก. เสียชีวิต หลังเกิดเหตุรถเมล์ขับปาดหน้ารถของนายกัณฑ์พิทักษ์ให้หยุดบริเวณหน้าป้อมตำรวจจราจรที่ปากซอยสุขุมวิท 26 แยกอารีย์ แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กทม. จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่น ส่วนข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา , พยายามฆ่าผู้อื่นให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 30 ม.ค.52 การกระทำของจำเลยไม่น่าเชื่อว่าจำเลยมีสติฟั่นเฟือน ที่อ้างว่ามีอาการเกร็งในขณะเกิดเหตุและตัวเองต้องได้รับการรักษาอาการป่วยจากแพทย์นั้น ศาลเห็นว่าที่จำเลยมีอาการเกร็งเกิดจากความเครียดจากการก่อเหตุเท่านั้น และที่จำเลยอ้างว่าบังคับตัวเองไม่ได้เพราะมีสภาพจิตแปรปรวน จำเลยไม่มีพยานหลักฐานยืนยันทางการแพทย์ชัดเจน ซึ่งการกระทำของจำเลยเกิดจากนายกัณฑ์เอนก ปัจฉิมสวัสดิ์ บิดาของจำเลยเลี้ยงดูตามใจ จึงก่อเหตุดังกล่าวจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ให้จำคุก 15 ปีฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยพยายามฆ่า และฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น จำคุก 2 เดือน แต่คำให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ประกอบกับจำเลยได้บรรเทาผลร้ายให้แก่ผู้เสียหาย หลายคน เป็นเงินจำนวนพอสมควร และเมื่อคำนึงถึงสุขภาพแห่งจิตแล้ว จึงมีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 ฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยพยายามฆ่า คงจำคุก 10 ปี และลดโทษกึ่งหนึ่งฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น คงจำคุก 1 เดือน เมื่อรวมโทษแล้วจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 10 ปี 1 เดือน และให้ริบรถยนต์ของกลาง โดยให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่ นางสมจิตร แกล้วกล้า กระเป๋ารถเมล์ ผู้เสียหายที่ 7 จำนวน 100,000 บาท , น.ส.สังวาล โจทก์ร่วมที่ 2 จำนวน 800,000 บาท , น.ส.สุชีรา โจทก์ร่วมที่ 3 จำนวน 79,412 บาท และนางทองดำ หลวงแสง โจทก์ร่วมที่ 4 มารดาของนางสายชล หลวงแสง พนักงาน ขสมก.ที่เสียชีวิต อีกจำนวน 2,158,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับตั้งแต่การทำละเมิดวันที่ 4 ก.ค.50 จนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนผู้เสียหายอื่น รวม 7 ราย จำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายจนเป็นเป็นที่พอใจแล้ว
ต่อมาจำเลย ได้ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์รับคดีไว้เมื่อวันที่ 26 ส.ค.52
ศาลอุทธรณ์ประชุมปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่า จากพฤติการณ์และสิ่งแวดล้อมในทางนำสืบ เชื่อว่าขณะเกิดเหตุจำเลยกระทำผิด ขับรถขึ้นไปบนทางเท้าชนผู้ตาย และผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ ในขณะที่จำเลยยังไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โดยก่อนเกิดเหตุและขณะเกิดเหตุจำเลยยังสามารถรู้สึกผิดชอบ และสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญซึ่งตรวจรักษาได้ประชุมร่วมกับจิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์พยาบาลจิตเวช นักจิตวิทยาคลินิก และลงความเห็นว่าขณะเกิดเหตุจำเลยป่วยเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน มีลักษณะหุนหันพันแล่น ที่มีผลต่อการควบคุมพฤติกรรมที่ไม่สามารถบังคับตนเองได้ เนื่องจากมีสติฟั่นเฟือน โดยจำเลยมีอาการชักตั้งแต่เด็ก การกระทำของจำเลยจึงเป็นการไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถบังคับตัวเองได้จนเกิดเหตุร้ายดังกล่าวจึงมีความผิดฐานขับรถชนคนตายและบาดเจ็บ ที่กระทำไปโดยไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กำหนดไว้สำหรับความผิดเพียงใดก็ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรค 2 ที่ศาลชั้นต้นลงโทษว่าจำเลยมีความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยฟังขึ้นบางส่วน ศาลอุทธรณ์จึงเห็นควรลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี
พิพากษาแก้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นในขณะไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 228 ประกอบมาตรา 65 วรรค 2 เห็นควรให้จำคุกจำเลย 3 ปี และเมื่อจำเลยได้บรรเทาผลร้าย โดยชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียชีวิต 1 ราย และผู้บาดเจ็บ 3 ราย จนเป็นที่พอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่ง และคดีอาญากับจำเลยต่อไป จึงเห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยเป็นเวลา 2 ปี และเมื่อรวมโทษฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น อีก 1 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้นเป็นเวลา 2 ปี 1 เดือน เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลย รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง ภายในกำหนด 2 ปี เพื่อให้เจ้าพนักงานคุมประพฤติได้แนะนำและคอยตักเตือนจำเลยเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง และให้จำเลยไปรักษาความบกพร่องทางจิตเป็นประจำตามที่แพทย์กำหนด โดยให้รายงานผลการรักษาต่อพนักงานคุมประพฤติทุกครั้งตลอดระยะเวลาของการรอลงอาญา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ด้านน.ส.สุชีรา อินทร์สุวรรณ์ อายุ 31 ปี บุตรสาวของนางสายชล หลวงแสง ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว กล่าวว่า การสูญเสียแม่ไม่มีอะไรมาชดเชยได้ น่าจะมีบรรทัดฐานว่าคนที่กระทำผิดควรได้รับโทษในสิ่งที่เขากระทำไม่ว่าเขาจะอายุน้อย เป็นผู้เยาว์ หรือบกพร่องทางจิต โทษจำคุกหรืออะไรก็ตามระยะเวลาไม่มีความสำคัญ ส่วนการชดเชยด้วยเงินเป็นการเยียวยาภายนอก ไม่สามารถชดเชยบาดแผลภายในจิตใจได้ ทั้งนี้จะอ่านรายละเอียดคำพิพากษาทั้งหมดเพื่อหารือกับทนายว่าจะฎีกาต่อไปหรือไม่ ขณะที่ตนอยากให้สังคมได้รับทราบคำตัดสินเพื่อเป็นกรณีศึกษาต่อไป