(16 ก.พ.) นายสมิทธ ธรรมสโรช ประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีอุกาบาตรตกที่ประเทศรัสเซีย จนมีผู้บาดเจ็บ
และบ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก ว่า ไม่ใช่อุกาบาตรเป็นสะเก็ดดาวและเป็นคนละลูกกับดาวเคราะห์น้อย ที่เตือนไว้แล้ว ซึ่งผ่านไปแล้วแบบเฉียดๆแต่ยังอยู่ในวงโคจร แต่อีกปีสองปีจะกลับมาอีก และอาจจะเข้าใกล้โลกกว่านี้ สำหรับสะเก็ดดาวเพิ่งตรวจพบเมื่อเช้าตอนที่ระเบิดแล้ว หอดูดาวทั่วโลกไม่มีใครจับได้เลยในตอนเข้ามา เพราะดวงมันเล็กหาไม่เจอ แต่ดาวเคราะห์น้อยหรืออุบากาบาตรดวงมันใหญ่เท่ากับครึ่งของสนามฟุตบอล ทำให้เห็นได้ชัดเจน แต่สะเก็ดดาวดวงมันเล็ก ลักษณะเท่าก้อนหิน เมื่อแหวกชั้นบรรยากาศทำให้เกิดโซนิกบูม เสียงเหมือนฟ้าผ่า ทำให้กระจกแตกบ้านเรือนเสียหาย
"เป็นเรื่องน่ากลัว ทีไม่มีใครจับได้ก่อนเข้ามาในบรรยายกาศโลก จนกระทั่งลุกเป็นไฟถึงได้เห็น ซึ่งยังไม่ถึงขนาดถึงวันสิ้นโลก หากเข้ามาลักษณะนี้อีก ดาวเทียมก็จับไม่ได้ ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังตรวจเช็กกันอยู่ว่าสภาพภูมิอากาศในโลกและนอกโลกเปลี่ยนไปอย่างไร จึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นและจะอาจเกิดบ่อย ถ้าจะเข้ามาอีกในลักษณะเดียวกัน ซึ่งเหตุมาจากชั้นบรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปหรือมีบางช่วงผิดปกติ ผมกำลังรอฟังรายงานการวิเคราะห์เหตุดังกล่าวจากองค์การนาซ่า และหากเข้ามาอีกจะไปตกที่ไหนถ้าตกในประเทศไทย ก็เป็นเหมือนวันโลกแตก ถ้าไปตกในที่ที่มีคนอยู่มากๆ" นายสมิทธ กล่าวและเตือนว่าปีนี้ประเทศไทยแล้งมาเร็วทำให้สภาพแห้งแล้งยาวนานขึ้น คนไทยควรเตรียมเก็บน้ำกินไว้ใช้แต่เนิ่นๆเช่นขุดบ่อ ขุดสระ ทำตุ้มน้ำขนาดใหญ่เพียงพอแต่ละหมู่บ้าน