ขุนพันธ์ อัศวินพริกขี้หนู มือปราบยุค ไอ้เสือ...บุก!!

รายอกะจิ-อัศวินพริกขี้หนู มือปราบยุค ไอ้เสือ...บุก!!´ คาถา ขุนพันธ์ มือ


ผ่านพ้นไปแล้ว พิธีพระราชทานเพลิงศพอดีตนายตำรวจมือปราบนามอุโฆษ พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดช โดยมีสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ เป็นองค์ประธานในพิธี ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ท่ามกลางคลื่นมนุษย์นับแสนคน แห่เบียดเสียดร่วมไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย

เราจะย้อนอดีตกลับไปถึงประวัติอันโชกโชนของขุนพันธ์


เมื่อประมาณ 70-80 ปีที่แล้ว สู่ยุค ไอ้เสือ...บุก!! อีกครั้ง เวลานี้หากเอ่ยชื่อ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช นายตำรวจร่างเล็กใจใหญ่ อันมีจิตวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง คงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก

แต่นอกจากชื่อจริงดังกล่าวแล้ว ขุนพันธ์ ยังมีฉายาอันสื่อถึงความกล้าหาญพ่วงท้ายอีกมากมาย อาทิ

ขุนพันธ์ดาบแดง
ขุนพันธ์ดาบคู่
ขุนพันธ์จอมขมังเวท
ขุนพันธ์หนังเหนียว
วีรบุรุษตำรวจแดนใต้
มือปราบสิบทิศ เป็นต้น

ฉายาต่าง ๆ นั้น เกิดขึ้นจากการทำงานด้วยความสำนึกต่อหน้าที่บนพื้นฐานของความทรหดอดทน ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก ที่สำคัญ ความกล้าหาญไม่เกรงกลัวหรือตกอยู่ใต้อิทธิพลนอกกฎหมายทุกรูปแบบ เรียกว่าได้มาเพราะฝีมือและการเสียสละทุ่มเททำงานในหน้าที่อย่างแท้จริง !!

ในอดีต บรรดาเสือร้าย หรือขุนโจรชื่อดัง


จะกระจายกันอยู่ทั่วประเทศ รวมตัวกันเป็น ชุมโจร จุดประสงค์ไม่มีอะไรมาก ปล้น ปล้น ปล้น แล้วก็ปล้น !!!

โจรดังภาคใต้ เช่น

เสือสังข์ เสืออะแวสะดอ ตาและ

ส่วนเสือในภาคกลาง เรียกว่า สี่เสือสุพรรณ ประกอบด้วย

เสือฝ้าย เสือใบ เสือมเหศวร และเสือดำ

เสือร้ายเหล่านี้เคยมีชื่อเสียงในทางปล้นฆ่า มีอิทธิพลจนไม่รู้จะเอาใครไปปราบ ไม่มีตำรวจหน้าไหนหาญกล้าจะต่อกรด้วย เรียกว่าเป็นยุค โจรครองเมือง ก็ว่าได้ ขุนพันธ์จึงถูกส่งตัวไปปราบชุมโจรร้ายที่ว่า จนราบคาบ วงการตำรวจและชาวบ้าน ต่างยกย่องชื่นชมขุนพันธ์อย่าง กว้างขวาง

นายณสรรค์ พันธรักษ์ราชเดช บุตรชายคนที่ 9 ของ ขุนพันธรักษ์ราชเดช เปิดเผยวีรกรรมที่บิดาเคยเล่าให้ฟังว่า


โจรหรือเสือร้ายในสมัยก่อนมีพฤติกรรมปล้นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนา เช่น ขุนโจรอะแวสะดอ ตาและ หรือเจ้าพ่อเขาบูโด ทั้งกระสุนปืน คมหอก คมดาบ ที่ตำรวจระดมสาดเข้าใส่ร่างของมัน แต่ทำอะไรมันไม่ได้

พอกระสุนหมดทั้งคู่ คุณพ่อก็วิ่งไล่จับขุนโจรชื่อก้องได้ด้วยมือเปล่า

กระโจนเข้าไปชกต่อยพัลวัน ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็จับเจ้าพ่อเขาบูโดใส่กุญแจมือ ลากคอเข้าคุกได้ และจากการตรวจสอบพบว่ากระสุนที่ยิงใส่ตามลำตัวไม่ถูกมันเลย และที่ยิงบริเวณปาก 9 นัด มันอมกระสุนไว้ในปากโดยไม่มีร่องรอยบาดแผลใด ๆ ฟันก็ไม่หัก

มันคายหัวกระสุนทั้ง 9 เม็ดลงกลางโต๊ะสอบสวน !!??

นับเป็นเรื่องที่หาข้อพิสูจน์ไม่ได้จนทุกวันนี้การสยบขุนโจรแห่งขุนเขาบูโดด้วยมือเปล่า โดยไม่รู้ว่าใช้คาถาอาคมอะไร ทำให้ขุนพันธ์ได้รับการยกย่องสรรเสริญจากคนไทยมุสลิม และพวกแขกมลายู (มาเลเซีย) เสียงดังกระหึ่มไปทั่ว จึงตั้งสมญานามให้ขุนพันธ์ ว่า รายอกะจิ หมายถึง ราชาร่างเล็ก หรืออัศวินพริกขี้หนู

บุตรชายคนที่ 9 ของขุนพันธ์ กล่าว


คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าการปราบเสือแต่ละคนไม่ง่ายเลย สมัยก่อนต้องใช้เวลาติดตามด้วยความยากลำบาก ไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้ เพราะต้องบุกป่าฝ่าดงไล่ล่ากันเป็นเดือนเป็นปี พ่อบอกว่าเสือภาคใต้ปราบยากกว่าเสือภาคกลางเพราะเสือภาคใต้มีวิชา มีของดี ของขลังติดตัว ผิดกับเสือภาคกลางที่อาศัยสมัครพรรคพวกมากเป็นสำคัญ บรรดาชุมโจรหรือขุนโจรที่เกรงกลัวขุนพันธรักษ์ราชเดช เนื่องจากเป็นคนเอาจริงเอาจังกับการปราบปราม ไม่ท้อ จิตใจทรหดอดทน หากมันไม่ตายเราก็ตาย

พ.ศ.2485


ขุนพันธรักษ์ราชเดช ย้ายไปเป็นผู้กำกับการตำรวจเมืองสุราษฎร์ธานี ก็ดำเนินการปราบ เสือสาย ผู้มีอิทธิพลในเมืองสุราษฎร์ฯ มานานกว่า 8 ปี จากนั้นบุกทลายซ่อง ไม้ไผ่งาช้าง ของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จนถูกย้ายไปเป็นผู้บังคับกองเมืองพิจิตร

พอไปอยู่เมืองพิจิตร ก็ปราบเสือโน้ม อ.พรานกระต่าย

และได้รู้จักกับ หลวงกล้ากลางณรงค์ นายทหารลูกหลานตระกูล พระยาพิชัยดาบหัก ที่มารับราชการที่เมืองพิจิตร ขุนพันธ์จึงฝากตัวเป็นบุตรบุญธรรม หลวงกล้ากลางณรงค์ได้มอบดาบคู่เหล็กน้ำพี้ให้กับขุนพันธ์ จนกลายเป็นอาวุธประจำตัว ดังฉายา ขุนพันธ์ดาบคู่

ถัดมาในปี พ.ศ.2489


ขุนพันธ์ย้ายไปเป็นผู้กำกับการตำรวจเมืองชัยนาท ลุยปราบชุมโจรสุพรรณบุรี โดยเฉพาะ เสือฝ้าย ถือเป็นก๊กเสือร้ายที่มีอิทธิพลมากที่สุด มีสมุนอยู่ทั่วใน จ.สุพรรณบุรี ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักคือ 4 เสือสุพรรณ ประกอบด้วย เสือฝ้าย เสือใบ เสือมเหศวร และเสือดำ ทางกรมตำรวจจึงคัดเลือกนายตำรวจ เพื่อตั้งเป็น กองปราบปรามพิเศษ ต่อสู้กับเสือร้ายภาคกลาง มี พ.ต.อ.สวัสดิ์ กันเขต เป็นผู้อำนวยการ และขุนพันธ์ เป็นรองผู้อำนวยการ จนชุมโจรเมืองสุพรรณถูกปราบปรามอย่างราบคาบ ส่วนเสือฝ้ายตัดสินใจเข้ามอบตัวในที่สุด

เมืองพัทลุงร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้งในปี พ.ศ.2490


ปัญหาโจรผู้ร้ายชุกชุม คดีปล้นฆ่าผุดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ชาวบ้านเดือดร้อนอย่างหนัก จึงมีการทำหนังสือขอตัวขุนพันธ์กลับพัทลุง มาต่อกรกับโจรร้ายก๊กใหม่ กระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 จ.นครศรีธรรมราช และเกษียณอายุราชการเมื่อปี พ.ศ. 2511

ตลอดชีวิตรับราชการในอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์


พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ทำทุกอย่างในคำว่า ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ จะแปลความหมายได้ แม้จะอยู่ในวัยเกษียณ แต่ชื่อยังถูกจารึกไว้ในจิตใจของตำรวจทุกยุคทุกสมัย และเคยได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี พ.ศ.2512 โดยได้รับการบันทึกว่าเป็น ส.ส.ที่มีคะแนนสูงสุดของประเทศในสมัยนั้น !! จวบจนขุนพันธ์ถึงแก่กรรมด้วยโรคชราที่บ้านพักเลขที่ 764/5 ซอยราชเดช ถนนราชดำเนิน ต.คลัง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ด้วยวัย 108 ปี

ในฐานะที่ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นปูชนียบุคคล


ที่ได้ประกอบคุณงามความดีต่อประเทศชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไว้เป็นอย่างมาก สมควรที่จะได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลของแผ่นดิน นอกจาก พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช จะได้ชื่อว่าเป็นต้นแบบของตำรวจน้ำดีแล้ว ท่านยังเป็นต้นแบบของผู้ที่ยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม จารีตประเพณี กฎกติกาของบ้านเมือง




ตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช


จึงได้จัดสร้างอนุสาวรีย์ของ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ประดิษฐานไว้ ณ บริเวณหน้าที่ทำการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อเป็นที่เคารพสักการบูชาของตำรวจและประชาชนทั่วไป ที่สำคัญเพื่อกระตุ้นเตือนจิตสำนึกของผู้ที่เป็น ตำรวจ ให้ประพฤติปฏิบัติตนอย่างสมศักดิ์ศรีของการเป็น ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ อย่างแท้จริง.


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์