พี-ปรเมศวร์เบี้ยวเข้ารับทราบข้อกล่าวหาฆ่าผู้อื่น
จากกรณีนายปรเมศวร์ สิงห์โพธิ์ หรือ "พี ปรเมศวร์" ดารานักแสดงหนุ่มจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ก่อเหตุยิงศีรษะ นายนพปฎล อธิบาย อายุ 44 ปี หุ้นส่วนร้านมิวส์ ทองหล่อซอย 10ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา สาเหตุจากไม่พอใจที่ผู้ตายเข้าไปห้ามปรามดาราหนุ่มขณะกำลังทะเลาะกับแฟนสาว เหตุเกิดบริเวณลานจอดรถอาคารเอท ทองหล่อ ปากซอยทองหล่อ 8 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 17 ม.ค. โดยภายหลังเจ้าตัวได้นำอาวุธปืนกล๊อก ขนาด 9 ม.ม.ที่ใช้ก่อเหตุเดินทางเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ก่อนใช้เงินสด 200,000 บาทประกันตัวออกไป จากนั้นทางพนักงานสอบสวนได้ติดต่อให้ทางดาราหนุ่มเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น
ความคืบหน้า วันนี้ (21 ม.ค.) พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รอง ผบก.น.5 เดินทางมาที่สน.ทองหล่อ พล.ต.ท.จักรทิพย์ เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้เดินทางมายังสน.ทองหล่อเพื่อตดตามความคืบหน้าคดีพร้อมทั้งมีการกำชับให้ทางเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมาและให้ความเป็นธรรมคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งในวันนี้หากนาย ปรเมศวร์ ยังไม่เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา ทางเจ้าหน้าที่จะทำการออกหมายเรียก ถ้าหากยังไม่เดอินทางมาอีกทางเจ้าหน้าที่จะออกหมายจับต่อไป
ด้าน พ.ต.อ.ชุมพล กล่าวว่า ในส่วนของคดีทางเจ้าหน้าที่มีพยานหลักฐานชัดเจน ถึงแม้ว่าผู้ต้องหาให้การปฏิเสธอ้างว่าเป็นการทำปืนลั่นใส่ทางเจ้าหน้าที่ก็สามารถดำเนินคดีเอาผิดได้ เนื่องจากมีพยานแวดล้อมที่เห็นเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก รวมทั้งกล้องวงจรปิดจับภาพเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน ซึ่งเชื่อว่าทางเจ้าหน้าที่มีพยานหลักฐานอย่างแน่นหนาเพียงพอที่จะแจ้งข้อหา ฆ่าผู้อื่น โดยเจตนา ต่อ พี-ปรเมศวร์ ได้ ทั้งนี้ในวันนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อมาจาก พี-ปรเมศวร์ แต่อย่างใด ซึ่งหากผู้ต้องหายังไม่เดินทางมา ทางพนักงานสอบสวนจะทำการขออณุญาติต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายเรียกครั้งที่ 1 หากผู้ต้องหายังไม่เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาอีก ทางพนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกเป็นครั้งที่2 และหากยังไม่มาอีก จะขออำนาจศาลอนุมัติออกหมายจับต่อไป
พ.ต.อ.ชุมพล กล่าวต่อว่า ยังคงยังขอยืนยันว่าทางเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวจะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาตามกฎหมาย แม้ว่าผู้ต้องหาจะเป็นดาราที่มีชื่อเสียงก็ตาม แต่คดีนี้ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนทางเจ้าหน้าที่ก็ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ไม่สามารถไปบิดเบือนข้อเท็จจริงไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้มีความหนักใจแต่อย่างใด
“แม้ว่าทางผู้ต้องหาจะอ้างว่าทำปืนลั่น แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็พิจารณาตามพยานหลักฐาน หากทางผู้ต้องหาได้นำปืนออกจากกระเป๋ามาจ่อไปยังผู้ตายแล้ว แม้ว่าปืนจะลั่นหรือไม่ก็ตาม ตามทางกฎหมายก็เข้าค่ายเป็นการก่อเหตุโดยเจตนาอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามหากผู้ต้องหาปฏิเสธก็ต้องไปต่อสู้กันในชั้นศาลต่อไป แต่ยืนยันว่าทางเจ้าหน้าที่มีอย่างหลักฐานอย่างแน่นหนา สามารถเอาผิดได้ และไม่มีความหนักใจแต่อย่างใด เนื่องจากคดีไม่มีอะไรซับซ้อน” พ.ต.อ.ชุมพล กล่าว..