จากกรณีที่นักท่องเที่ยวและพุทธศาสนิกชน ที่เดินทางมาเที่ยวชมวัดคูหาภิมุข หรือวัดหน้าถ้ำ ต.หน้าถ้ำ อ.เมือง จ.ยะลา
วัดเก่าแก่ของเมืองยะลา เกิดการเปลี่ยนแปลงกระเบื้องภายในถ้ำ ซึ่งประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ จากเดิมเป็นกระเบื้องดินเผาสีน้ำตาลแดง เป็นกระเบื้องสีฟ้าคล้ายกระเบื้องปูผนังห้องน้ำ จึงเห็นว่าไม่เหมาะสม เพราะไม่ได้คงรูปแบบเดิมของวัด อีกทั้งวัดคูหาภิมุขนี้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติตามที่เสนอข่าวไปนั้น
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่วัดคูหาภิมุข นายฉลาด แก้วพูล นายช่างศิลปกรรมชำนาญงาน สำนักศิลปากรที่ 13 จ.สงขลา พร้อมคณะเดินทางมาตรวจสอบกรณีดังกล่าว พบว่าพบมีการปูพื้นกระเบื้องสีฟ้าภายในถ้ำจริง เป็นพื้นที่กว่า 50 เปอร์เซ็นต์
จากนั้นนายฉลาดกล่าวว่า เบื้องต้นพบว่ามีการปูกระเบื้องโดยไม่ได้แจ้งให้ทางกรมศิลป์
ซึ่งจริงๆ แล้วทางกรมศิลป์ก็ไม่ได้ห้ามเอกชนหรือบุคคลในการต่อเติม หรือบูรณะโบราณสถาน แต่สมควรที่จะมาแจ้ง และขออนุญาตทางกรมศิลป์ เพื่อจะให้คำแนะนำว่าดำเนินการอะไรได้บ้าง อะไรที่ไม่สมควรทำ ในส่วนของวัดถ้ำแห่งนี้ เมื่อปูกระเบื้องเช่นนี้ ผลกระทบหลักๆ คือจะไปทำให้ความชื้นภายในถ้ำลดน้อยลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อองค์พระ ซึ่งเป็นดินเหนียว ในอนาคตอย่างแน่นอน
"ต่อไปจะดูว่าจะดำเนินการแก้ไขอะไรได้บ้าง โดยคาดว่าอาจจะดำเนินการสองแนวทางคือ รื้อทิ้งออกทั้งหมด หรือรื้อทิ้งบางส่วน รวมทั้งเปลี่ยนสีกระเบื้อง เพราะว่ากระเบื้องสีฟ้าทำให้แสงสะท้อนภายในถ้ำเปลี่ยนไป ส่งผลต่อความสวยงามของพระพุทธรูปโบราณภายในถ้ำ แต่อย่างไรก็ตามก็จะต้องให้ช่างผู้ชำนาญ ตรวจสอบดูอีกครั้งว่าจะดำเนินการแก้ไขอย่างไรต่อไป" นายฉลาดกล่าว
นายเอนก สีหามาตย์ รองอธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า สาเหตุที่กรมศิลปากรต้องสั่งรื้อกระเบื้องภายในวัดคูหาภิมุขออก
ส่วนหนึ่งเพราะกระเบื้องอาจทำให้ผืนดินเกิดความชื้น เป็นสาเหตุให้พระพุทธไสยาสน์สมัยโบราณทรุด หากใช้กระเบื้องดินเผาแบบโบราณจะไม่สะสมความชื้น แต่ต้องปูให้มีช่องว่างด้านข้าง เพื่อให้ความชื้นระบาย ขณะที่กระเบื้องสมัยใหม่ไม่ได้ออกแบบมาให้ระบายอากาศได้ดี อาจเป็นส่วนหนึ่งทำให้ดินทรุดได้ ส่วนอีกสาเหตุต้องดูว่าเวลาฝนตกทางน้ำจะไหลไปทางด้านใดประกอบด้วย
กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
กระทู้ล่าสุด
รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
